สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยและกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทำให้แบรนด์ค้าปลีกหลายแห่งพยายามงัดกลยุทธ์ดึงดูดใจลูกค้า และภาพยนตร์ Barbie ถือเป็นหนึ่งในวิธีการดังกล่าวที่จะช่วยให้พวกเขาโน้มน้าวใจผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น ซึ่งในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังทยอยเข้าฉายทั่วโลก เราจึงเห็นแบรนด์ดังต่าง ๆ ทยอยออกสินค้าสีชมพูและประดับเลื่อมระยิบระยับ เพื่อเอาใจสาวกของตุ๊กตาสาวสุดฮอตตัวนี้โดยเฉพาะ

สินค้าใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นต่างหูห่วง น้ำหอม ชุดจัมพ์สูท และชุดเดรสในสไตล์บาร์บี้ ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อขายให้กับเด็ก ๆ แต่มันถูกวางเป้าหมายไว้เป็นผู้บริโภคในวัยผู้ใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งในวัยเด็กต้องเคยมี หรือใฝ่ฝันอยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้ไว้ในครอบครอง และเพื่อเป็นการเติมเต็มความฝันแล้ว ผู้บริโภคกลุ่มนี้ย่อมควักกระเป๋าจ่ายอย่างแน่นอน

หนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นท่ามกลางสนามการแข่งขันสินค้าสีชมพู คือ ZARA ที่ออกคอลเล็กชันเสื้อผ้าและเครื่องประดับสำหรับเด็ก 17 รายการ และผู้หญิงอีก 85 รายการ เช่น ชุดว่ายน้ำวันพีซ กระเป๋าเป้ และรองเท้าผ้าใบ ซึ่งทั้งหมดเป็นสีฮอตพิงก์ (Hot Pink) สีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ของตุ๊กตาบาร์บี้ นอกจากนี้ แบรนด์ยังออกสูทสีชมพูฟูเชีย รองเท้าบูทสไตล์คาวบอย เสื้อเดนิมและกางเกงแบบเข้าชุดกัน เพื่อให้สอดคล้องกับ เคน (Ken) ตุ๊กตาแฟนหนุ่มของบาร์บี้อีกด้วย

ZARA รายงานว่า ตั้งแต่สินค้าคอลเล็กชันดังกล่าวถูกวางจำหน่ายบนเว็บไซต์ของแบรนด์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (19 ก.ค. 66) ซึ่งเป็นวันก่อนที่ภาพยนตร์ Barbie จะเข้าฉายในสหราชอาณาจักร สินค้าประเภทน้ำหอม ต่างหูห่วง และเสื้อฮู้ดครอปสีชมพูก็หมดสต็อกทันที ในขณะที่สูทสีชมพูฟูเชียสำหรับผู้ชายที่วางขายในราคา 89.99 ปอนด์ หรือประมาณ 4,000 บาท ก็หมดสต็อกทันทีเช่นกัน

แบรนด์เสื้อผ้าอื่น ๆ ก็ไม่น้อยหน้า เช่น H&M, Primark, GAP, Superga, Beis และ Crocs ต่างก็เปิดตัวคอลเล็กชันบาร์บี้เช่นกัน แต่ก็อาจใช้กลยุทธ์ทางการค้าที่แตกต่างกันบ้าง เช่น GAP ออกเสื้อฮู้ดบาร์บี้สำหรับผู้หญิง แต่ไซส์พิเศษ XXS จะมีวางจำหน่ายทางออนไลน์เท่านั้น ในขณะที่แบรนด์รองเท้าแตะ Crocs และแบรนด์กระเป๋าเดินทาง Beis ก็ออกสินค้ารุ่นสีชมพูเฉพาะตัวของบาร์บี้และวางขายในราคาที่สูงกว่าปกติ

โดยรองเท้าแตะ รุ่น Barbie Crocs วางจำหน่ายในราคา 59.99 เหรียญสหรัฐฯ (2,000 บาท) ซึ่งแพงกว่ารองเท้ารุ่นปกติ 10 เหรียญสหรัฐฯ (300 บาท) และแม้ว่าจะแพงกว่าสินค้าดังกล่าวก็ถูกซื้อจนหมดเกลี้ยงไปแล้วบนเว็บไซต์ของแบรนด์ ในขณะที่ Beis เปิดตัวกระเป๋าเดินทาง 3 ขนาดในสีชมพูเฉพาะตัวของบาร์บี้เช่นกัน และถูกจำหน่ายในราคาระดับพรีเมียม เมื่อเปรียบเทียบกับสีปกติ

การเกาะกระแสภาพยนตร์ Barbie ไม่ได้จำกัดเฉพาะวงการค้าปลีกเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงภาคการท่องเที่ยวด้วย โดยโรงแรมไฮแอทท์ (Hyatt) และโรงแรมฮิลตัน (Hilton) ต่างเปิดให้บริการห้องสวีทในธีมบาร์บี้ เช่น สาขาโบโกตาในโคลอมเบีย และสาขากัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซีย เพื่อสานฝันทุกคนที่อยากเข้าไปอยู่ใน Barbie Dreamhouse หรือบ้านในฝันของบาร์บี้

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานโดยอ้างอิง โจ แอชดาวน์ (Jo Ashdown) หุ้นส่วนผู้จัดการของ Mando Connect และพันธมิตรของ WPP บริษัทสื่อและโฆษณายักษ์ใหญ่ของอังกฤษ เปิดเผยว่า เขาไม่เคยเห็นความร่วมมือระหว่างแบรนด์มากขนาดนี้มาก่อน ซึ่งทั้งหมดมาจากภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียว

แม้ว่าจะมีความกังวลว่าตลาดอาจมีสินค้าเกี่ยวกับบาร์บี้มากเกินไป หรือเกิดภาวะที่อุปทานมากกว่าอุปสงค์ แต่ เจมส์ ซาห์น (James Zahn) บรรณาธิการนิตยสาร The Toy Book ระบุว่าสิ่งหนึ่งที่ แมตเทล (Mattlel) บริษัทผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้แสดงจุดยืนมาตลอดคือ บาร์บี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของสาวผิวขาวผมบลอนด์หุ่นบางเท่านั้น แต่บาร์บี้เป็นตัวแทนของทุกคน เราจึงเห็นความหลากหลายของสีผิว รูปร่าง และอาชีพของบาร์บี้ นอกจากนี้ ตัวภาพยนตร์เองยังสร้างความแปลกใหม่มากพอที่จะทำให้ผู้คนที่ไม่ได้สนใจบาร์บี้ หันกลับมามองตุ๊กตาสาวสุดฮอตตัวนี้อีกด้วย

Barbie-role-models

นอกเหนือจากการกระตุ้นยอดขายทั่วโลกของตุ๊กตาบาร์บี้เองแล้ว สิ่งหนึ่งที่ แมตเทล ผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ตั้งเป้าหมายไว้คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยฟื้นคืนเสน่ห์อันน่าดึงดูดใจของตุ๊กตาบาร์บี้ ไปพร้อม ๆ กับการประทับความชื่นชอบบาร์บี้ไว้ในจิตใจของคนรุ่นใหม่อีกด้วย

ที่มา : Reuters

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส