สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินอะไรดี ? เพื่อช่วยหักลดหย่อนภาษี ในโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ รัฐบาลก็มีกองทุนน้องใหม่ออกมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
กองทุนที่ว่าก็คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thailand ESG Fund (Thai ESG) ที่เพิ่งผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บทความนี้ beartaiBRIEF จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับกองทุนน้องใหม่นี้กัน
กองทุน Thai ESG ลงทุนในอะไรได้บ้าง ?
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดให้กองทุน Thai ESG ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี (Environment, Social, Governance: ESG) ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนด
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีมีอะไรบ้าง ?
กองทุน Thai ESG ให้สิทธิลดหย่อนภาษีแก่ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาเพื่อขอยกเว้นภาษีบุคคลลธรรมดาเท่านั้น ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่เกินคนละ 100,000 บาท โดยไม่ต้องนับรวมสิทธิลดหย่อนอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และผลิตภัฑณ์ประกันต่าง ๆ
ผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 8 ปี โดยนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน ทั้งนี้ กองทุน Thai ESG ไม่มีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเอาไว้ และไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี โดยให้สิทธิ์ซื้อตั้งแต่ปี 2566 – 2575 รวม 10 ปี โดยใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีที่ลงทุน
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจะต้องแจ้งความประสงค์กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ที่ซื้อหน่วยลงทุนไว้
ลงทุนใน Thai ESG ต้องดูอะไรบ้าง ?
อันดับแรกเลย ผู้ลงทุนต้องดูว่าสามารถถือหน่วยลงทุนในระยะยาวเป็นเวลา 8 ปีได้หรือไม่ เพราะหากขายก่อนกำหนดจะต้องคืนภาษีที่เคยได้รับสิทธิยกเว้น หรืออาจต้องเสียค่าปรับ และหากมีกำไรก็ต้องเสียภาษีจากกำไรนั้นด้วย
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรศึกษาอัตราภาษีจ่ายขั้นสุดท้ายของตัวเองด้วย เพื่อคำนวณเงินลงทุนให้ครอบคลุมสิทธิลดหย่อนภาษี รวมถึงมูลค่าเงินลงทุนหลังการใช้สิทธิ เช่น อัตราภาษีอยู่ที่ 20% หากลงทุน 100,000 บาท สามารถหักลดหย่อนได้ 20,000 บาท ดังนั้น มูลค่าเงินลงทุนที่เหลือจะเป็น 80,000 บาท
ประโยชน์ของกองทุน Thai ESG
กองทุน Thai ESG ได้ผนวก 3 องค์ประกอบหลักเข้าไว้ด้วยกัน คือ
1. สนับสนุนการออมการลงทุนในระยะยาว เพราะปัจจุบันอัตราการออมของคนไทยถือว่าค่อนข้างต่ำ โดยในปี 2564 ประเทศไทยมีเงินออม (Gross Savings) ทั้งสิ้น 4.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 27.8% ของ GDP ขณะที่เงินออมภาคครัวเรือนมีเพียง 1.1 ล้านล้านบาท หรือ 6.7% ของ GDP เท่านั้น นับว่าเป็นอัตราเงินออมเพื่อเกษียณที่อยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อพิจารณาจากประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มตัวแล้ว
2. ส่งเสริมธุรกิจไทยให้ตระหนักถึงความสำคัญของ ESG ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมทั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
3. สำหรับผู้ลงทุน กองทุน Thai ESG ถือเป็นทางเลือกใหม่เพื่อการลงทุนในระยะยาว พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี นอกเหนือจากกองทุน SSF และ RMF ซึ่งกองทุนน้องใหม่นี้มีจุดประสงค์และเงื่อนไขการลงทุนที่แตกต่างจากกองทุนรุ่นพี่ทั้งสอง
Thai ESG ต่างกับ SSF และ RMF อย่างไร ?
SSF หรือกองทุนเพื่อการออม มีวัตถุประสงค์เพื่อการออมระยะยาว มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% หรือไม่เกิน 200,000 ของเงินได้พึงประเมิน เมื่อนับรวมเงินกลุ่มเกษียณ ไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ และไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี
RMF หรือกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมไว้ใช้ในยามเกษียณ สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลายประเภท โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% หรือไม่เกิน 500,000 บาทของเงินได้พึงประเมิน โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ 1 ปี ระยะถือครอง 5 ปีขึ้นไป และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
ดังนั้น การมาของกองทุน Thai ESG จึงช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนได้มากขึ้น หรือถ้าไม่อยากเลือก ก็สามารถลงทุนได้ทั้ง 3 รูปแบบ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
คำเตือน : บทความนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ธนาคารทหารไทยธนชาต
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส