ปัจจุบัน การลงทุนไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากและไกลตัวอีกต่อไป เพราะมีแพลตฟอร์มให้เลือกหลากหลายและทำได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว หลายคนจึงสนใจการลงทุนมากขึ้น แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ นอกจากต้องศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนลงทุนแล้ว การทำความรู้จัก Index หรือดัชนีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะดัชนีเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดความเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยจะคำนวณจากค่าทางสถิติของหุ้นในกลุ่มนั้น ๆ

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก็ได้ประกาศใช้ดัชนีใหม่คือ SETESG Index โดยเป็นการเปลี่ยนชื่อมาจาก SETTHSI Index หรือดัชนีความยั่งยืน โดย SETESG จะรวบรวมหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผ่านการประเมินหุ้นยั่งยืนหรือ SET ESG Ratings ที่จะคัดเลือกจากบริษัทจดทะเบียนที่นำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ การรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

นอกจาก SETESG แล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังมีดัชนีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น SET, SET50, SET100, sSET, SETCLMV, SETHD, SETESG และ SETWB ซึ่งตัวย่อมากมายเหล่านี้อาจทำให้นักลงทุนมือใหม่มึนงงกันถ้วนหน้า ซึ่งบทความในวันนี้ beartai จะพาไปทำความรู้จักดัชนีแต่ละตัวว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรและสะท้อนข้อมูลอะไรบ้าง

SET คือดัชนีที่คำนวณจากราคาหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในแต่ละวัน โดยจะสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งหมด ในกรณีที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นเป็น ‘สีเขียว’ เท่ากับว่ามูลค่าตลาดรวมวันนี้ ‘เพิ่มขึ้น’ เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ในทางกลับกัน หากดัชนีปรับตัวลดลงหรือเป็น ‘สีแดง’ ก็สะท้อนว่ามูลค่าตลาดรวมวันนี้ ‘ลดลง’ เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม SET คือดัชนีที่คำนวณจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นส่วนใหญ่ ดังนั้น อาจมีหุ้นบางตัวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงสวนทางกับหุ้นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน

SET50 คือดัชนีที่คำนวณจากราคาหุ้น TOP 50 บริษัทแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุด มีสภาพคล่องในการซื้อขายสม่ำเสมอ และการกระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มากกว่า 20% โดยทุก ๆ 6 เดือน (เดือนมกราคมและกรกฎาคม) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำการคัดเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์ SET50 เพื่อมาคำนวณดัชนีใหม่

SET100 คือดัชนีที่คำนวณจากราคาหุ้น TOP 100 บริษัทแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด มีสภาพคล่องในการซื้อขายสม่ำเสมอ และการกระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่า 20% โดยจะมีการคำนวณดัชนีใหม่ทุก ๆ 6 เดือน เหมือนกับ SET50

sSET คือดัชนีหุ้นอีกกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์เช่นเดียวกันกับ SET50 และ SET100 แต่ไม่ได้ติดอยู่ในทั้ง 2 ดัชนีดังกล่าว โดยจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ในลำดับที่ 90% ขึ้นไป แต่จะไม่เกินลำดับที่ 98% มีสภาพคล่องในการซื้อขายสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

SETCLMV คือดัชนีราคาหุ้นของกลุ่มที่มีรายได้จากประเทศในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา (Cambodia) สปป.ลาว (Lao PDR) เมียนมา (Myanmar) และเวียดนาม (Vietnam)

SETHD หรือ SET High Dividend 30 Index คือดัชนีราคาหุ้นกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง

SETWB หรือ SET Well-Being คือดัชนีราคาหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี นักลงทุนบางคนจะเรียกดัชนีนี้ว่า “หุ้นกลุ่มกินดีอยู่ดี” ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก

นอกจากดัชนีที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วยังมีอีกหนึ่งดัชนีที่น่าสนใจและนักลงทุนมือใหม่ควรรู้จักคือ mai ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้คือหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก (SME) รวมถึงธุรกิจ Startup ที่มีการเติบโตสูง แต่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ในระดับที่ต่ำและมีสภาพคล่องการซื้อขายที่น้อย

อ่านมาถึงตรงนี้ นักลงทุนมือใหม่ก็น่าจะพอรู้แล้วว่า ดัชนีแต่ละตัวคือการจัดประเภทของดัชนีตามประเภทของกลุ่มหุ้นนั้น ๆ ซึ่งเราสามารถเลือกลงทุนได้ตามความสนใจ หรือมีความเชื่อมั่นว่าหุ้นในแต่ละกลุ่มดัชนีนั้น ๆ จะสามาารถเติบโตได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมือใหม่ควรตระหนักไว้เสมอว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” ซึ่งนี่คือคาถาป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้อีกด้วย

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ศูนย์พัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส