Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร่วงลงเหลือ 66,885 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,400,000 บาท) ในช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ที่ 15 มี.ค. 67 ซึ่งลดลงมา 9% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คำถามต่อมาคือ อะไรกันเป็นสาเหตุของราคาที่ลงดิ่งครั้งนี้ แล้วมีปัจจัยใดที่น่าจับตามองในอนาคต
คำกล่าวถึงการร่วงโรยครั้งนี้
Matt Simpson นักวิเคราะห์ของ City Index อธิบายอย่างเป็นปกติว่า “Bitcoin มีประวัติที่เป็นที่ยอมรับของการมีความผันผวน และไร้ความปรานีหลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งดูเหมือนว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่ผ่อนคลายเท่าที่เทรดเดอร์คาดหวังไว้”
Adrian Wang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Metalpha กล่าวว่า “ตลาดอาจมีการปรับตัวต่อความไม่แน่นอนก่อนการลดรางวัลการขุดครึ่งหนึ่ง”
QCP Capital ในสิงคโปร์ เผยว่า “เป็นเรื่องยากมากสำหรับการขายระยะสั้นเหล่านี้ที่จะกระทบต่อแนวโน้มขาขึ้น ตราบใดที่ความต้องการ BTC Spot ETF รายวันยังคงแข็งแกร่ง” สรุปได้สั้น ๆ ว่า ครั้งนี้เป็นการลดลงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้สัญญาตลาดคาดการณ์บน Polymarket ให้โอกาส 38% ที่ BTC จะปิดเหนือ $70,000 ภายในเที่ยงวันศุกร์ตามเวลาของสหรัฐอเมริกา
สรุปตัวแปรที่ชี้ทางราคาขึ้น-ลงของบิตคอยน์
- ทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐฯ (FED) ที่ยังไม่ชัดเจน
- ติดตามดัชนีการซื้อขายทองคำ และ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Nasdaq)
- ปริมาณการซื้อขายในอดีตของ Bitcoin ETF จากกองทุนยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Blackrock ยิ่งนักลงทุนรายใหญ่ถือบิตคอยน์เพิ่มเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนรายย่อย
- เหตุการณ์ Bitcoin Halving อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ รางวัลจากการขุดจะลดลงทุก ๆ 4 ปี โดยจะลดลง ‘ครึ่งหนึ่ง’ ซึ่งความขาดแคลนนี้อาจส่งผลต่อราคา
- ความต้องการซื้อ BTC Spot ETF แบบรายวัน อาจเป็นแรงผลักดันให้ราคาสูงขึ้น
** การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ผู้สนใจควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน