บริษัท Coinbase Global ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ รายงานกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้ที่ระดับสูงกว่า 1.2 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี หลังจากสหรัฐฯ อนุญาตให้มีการเปิดตัวกองทุนรวมติดตามราคาบิตคอยน์ได้เป็นครั้งแรกในเดือนมกราคม

ราคาคริปโทเคอร์เรนซีพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปี หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) อนุมัติให้เปิดตัวกองทุนรวมติดตามราคาบิตคอยน์ได้เป็นครั้งแรก หลังการผลักดันมานานกว่า 10 ปี อีกทั้ง Coinbase ยังเป็นผู้ดูแลกองทุนรวมติดตามราคาบิตคอยน์หลายกองทุน รวมถึงกองทุน iShares Bitcoin Trust ของ BlackRock

ความคึกคักของการเปิดตัวกองทุนรวมดังกล่าว ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 72,000 เหรียญในเดือนมีนาคม และกระตุ้นความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลอีกครั้ง โดยปริมาณการซื้อขายบน Coinbase ในไตรมาสแรกอยู่ที่ 3 แสนล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจาก 1.45 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อน

Coinbase รายงานกำไรสุทธิ 1.2 เหรียญล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 4.84 เหรียญต่อหุ้น ในไตรมาสแรกสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม เทียบกับการขาดทุน 79 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.34 เหรียญต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน

แม้ว่าหุ้น Coinbase จะปิดการซื้อขายวันนี้พุ่งขึ้นเกือบ 9% แต่ก็ร่วงลงราว 2.5% นอกช่วงเวลาทำการหลังรายงานผลประกอบการดังกล่าว ซึ่งพอล มารีโน่ ประธานฝ่ายรายได้ของบริษัทลงทุน GraniteShares ระบุว่า แม้จะเป็นรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง แต่นักลงทุนมีความกังวลว่า ปริมาณการซื้อขายจะลดลงหลังจากที่ราคาบิตคอยน์มีแนวโน้มลดลง

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเบรนแนน อาร์มสตรอง ซีอีโอของ Coinbase กล่าวระหว่างการประชุมนักวิเคราะห์ว่า “การรักษาโครงสร้างต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำ พร้อมกับการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ได้ส่งผลดีอย่างมาก”