ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความหวัง หลังรัฐบาลไทยกำลังพิจารณานำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูตลาดหุ้นไทย บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์เม็ดเงินใหม่ 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งน่าจะช่วยผลักดันและเพิ่มสภาพคล่องในดัชนีตลาดหุ้นไทย พร้อมทั้งร่วมวิเคราะห์ถึงเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จาก LTF รอบใหม่นี้

กระทรวงการคลังเริ่มแผนฟื้น LTF

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เตรียมสั่งการกรมสรรพากรศึกษานำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาใช้อีกครั้ง หลังนายพิชัย ชุณหวชิร รมว. คลัง แจงแนวโน้มนำ LTF มากระตุ้นตลาดหุ้นไทย โดยจะหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และบลจ. ในลำดับถัดไป แต่ก็เน้นย้ำว่ายังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้

ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยพร้อมหารือกระทรวงการคลังเรื่องนำ LTF กลับมาใช้ใหม่ เชื่อว่านักลงทุนคุ้นเคย และชอบสิทธิประโยชน์ของ LTF ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น แต่ต้องคุยรายละเอียดรูปแบบ วงเงิน เงื่อนไขกับรมว. คลังก่อน

โดยทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทยปรับ SSF ให้ใกล้เคียง LTF หรือยกเลิก SSF แล้วนำ LTF กลับมา โดยจุดเด่นของ LTF คือระยะเวลาถือครอง 5 ปีสั้นกว่า มีสิทธิลดหย่อนภาษี และอาจปรับเงื่อนไขให้ถือสินทรัพย์อื่นได้บ้าง เมื่อตลาดหุ้นลง

ปัญหาเรื่องปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยปีนี้ดูท่าทางไม่สดใสนัก ดัชนี SET ทรงตัวอยู่กับที่ แม้จะออกมาตรการกระตุ้น แต่ปริมาณการซื้อขายก็ยังไม่ขยับ โดยวอลูมเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ลดลงจากปีก่อนและต่ำกว่าช่วงที่ LTF ยังคงมีผลบังคับใช้

นักวิเคราะห์จาก บล. เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มฟื้นจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ปี 2566 ซึ่งในสภาวะปกติน่าจะหนุนดัชนีปรับตัวขึ้นได้ แต่ปัจจุบันวอลูมการซื้อขายยังไม่สูงพอ โดยวอลูมควรอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน จึงจะขับเคลื่อนดัชนีได้อย่างมีเสถียรภาพ

ผู้เชี่ยวชาญคาดเม็ดเงินไหลเข้าหุ้นไทยไม่ต่ำ 4 – 7 หมื่นล้านบาทต่อปี

  • บล. เอเซีย พลัส คาดหากมีการนำ LTF กลับมาใช้ จะมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี อ้างอิงจากสถิติในอดีต ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ตลาดได้มาก
  • ขณะที่ บล. หยวนต้ามองว่าหากมี LTF จะมีเงินใหม่เข้าตลาดได้ราว 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี มากกว่ากองทุน SSF และ Thai ESG ปีละไม่เกิน 1 หมื่นล้าน แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพราะผลขาดทุนยังมากกว่าสิทธิลดหย่อนภาษี
  • ด้าน บล. ไอร่า ระบุต้องติดตามว่าจะนำ LTF กลับมาเมื่อใด เพราะต้องผ่านรัฐสภา พร้อมเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์กับเดิม จะได้เงินเท่าอดีตหรือไม่ต้องดูสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น GDP ต่ำกว่าเดิมอาจได้เงินไม่ถึง 6-7 หมื่นล้าน
  • ด้าน บล. กสิกรไทย มองในด้านบวก หากนำ LTF กลับมา เพราะจะมีกระแสเงินใหม่หนุนตลาด แต่ต้องรอความชัดเจนในรอบนี้ก่อน เนื่องจากประเด็นนี้พูดถึงมานานแล้ว
  • และ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายก IAA และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ มองว่าการนำกองทุน LTF กลับมาใช้ในช่วงนี้เป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักขึ้น โดยราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำและน่าสนใจ ตอบโจทย์การสร้างเงินออมระยะยาว

บรรดาสถาบันการเงิน วอนขอเงื่อนไข LTF แบบเดิม

หลาย บลจ. หารือเรื่องการนำกองทุน LTF กลับมา โดยหวังเงื่อนไขคล้ายเดิม

  • พจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ ตอนนี้กำลังหารือเรื่องการนำกองทุน LTF กลับมา ภายใน บลจ. และคาดหวังว่า LTF เหมือนเดิมจะดีมาก
  • ส่วนสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ มองควรพิจารณาให้ LTF เดิมที่หมดอายุยืดระยะเวลาถือครองต่อ เพื่อไม่ต้องออกกองทุนใหม่ หากกลับมาทันปีนี้ เป็นโอกาสดีเพราะตลาดหุ้นลงมากจะช่วยลงทุนได้มากขึ้น
  • ด้านไพบูลย์ จาก บล. ทิสโก้ ระบุเงื่อนไขสำคัญคือ 1. ลงทุนเฉพาะหุ้นไทยหรืออนุญาตเฉพาะหุ้น ESG ก็ได้ 2. วงเงินลดหย่อนภาษี 5 แสนบาท คาดจะมีเงินใหม่เข้า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี มากกว่า TESG 3. ระยะถือครอง 5 ปี ไม่จำเป็นต้องนาน
  • ชยนนท์ บลน. ฟินโนมีนา ต้องการให้แยกวงเงินลดหย่อน LTF จาก RMF และ SSF หากรวมเดียวกันอาจแย่งนักลงทุนกับ TESG ทำให้ไม่เกิดประโยชน์มากนัก

โดยการนำกองทุน LTF กลับมาใช้อีกครั้งยังต้องรอการหารือและรายละเอียดเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เป็นต้น เพื่อกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัดเจน

ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนเตือนว่า การนำกองทุน LTF กลับมาอาจใช้เวลาในการดำเนินการหลายขั้นตอน เนื่องจากต้องแก้ไขกฎหมายและผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา จึงอาจไม่สามารถทำได้ทันในปีนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่การนำกองทุน LTF ที่เคยประสบความสำเร็จกลับมาใช้ใหม่ ถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทย ที่จะช่วยสร้างสภาพคล่องและกระตุ้นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้มากขึ้น