หุ้น Nvidia ร่วงแรง 13% ในเวลาเพียง 3 วัน จากจุดที่เคยแตะอันดับบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก 3.34 ล้านล้านเหรียญ (ประมาณ 122 ล้านล้านบาท) เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
เมื่อวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา หุ้น Nvidia ปรับตัวลดลงอย่างหนักถึง 6.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงไปแล้วถึง 13% จากจุดสูงสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ซึ่งการปรับตัวลงของ Nvidia ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ด้วย โดยหุ้น Supermicro ซึ่งผลิตเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป AI ของ Nvidia ปรับตัวลง 8.7% ขณะที่ Dell คู่แข่งในตลาดเดียวกันปรับตัวลง 5.2% นอกจากนี้ Arm บริษัทออกแบบชิปก็ปรับตัวลง 5.8% ส่วน Qualcomm และ Broadcom ยักษ์ใหญ่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์ก็ปรับตัวลง 5.5% และ 3.7% ตามลำดับ มีเพียงหุ้น Samsung ที่ปรับตัวบวกขึ้นเล็กน้อย 0.87%
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มดังกล่าวเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI ที่กำลังมาแรง โดยมูลค่าหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วงปีที่ผ่านมา แม้จะปรับตัวลงในช่วง 3 วันที่ผ่านมาก็ตาม
ทำให้ปัจจุบัน Nvidia ผู้ผลิตชิปประมวล เหลือมูลค่าตลาดเพียง 2.9 ล้านล้านเหรียญ กลายมาเป็นอันดับ 3 ดั่งเช่นเดิม โดยได้คืนตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด ซึ่งต่ำกว่าการประเมินมูลค่าของ Microsoft และ Apple ที่มากกว่า 3 ล้านล้านเหรียญ
อย่างไรก็ดี Nvidia เผยว่าความต้องการหน่วยประมวลผลกราฟิก AI (GPU) ยังคงมีความต้องการที่สูงอยู่ เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ เช่น Microsoft, Google, Amazon, Oracle และ Meta ต้องซื้อชิปมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ เพื่อขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ของบริษัทตัวเอง
ตรงกับความเห็นของนักวิเคราะห์บางรายที่มองว่า การปรับฐานครั้งนี้อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดย Ray Wang ผู้ก่อตั้ง Constellation Research กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ Nvidia จะยังคงแข็งแกร่งต่อไปอีก 18-24 เดือนข้างหน้า และมองว่านี่เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อหุ้น
ในขณะที่ Patrick Moorhead ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Moor Insights & Strategy ได้ให้ความเห็นกับ Yahoo Finance ว่า นักลงทุนควรจับตาดูสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดในระยะต่อไปในอีก 6-9 เดือนข้างหน้า แม้ว่าความเป็นผู้นำตลาดของ Nvidia จะยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาแนะนำให้นักลงทุนหันไปสนใจบริษัทซอฟต์แวร์ที่นำ AI ไปใช้งานจริง เช่น Adobe, Salesforce, SAP และ ServiceNow โดยอธิบายว่า หากลูกค้าองค์กรและผู้บริโภคไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ กระแส AI ที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ก็อาจจะชะลอตัวลงได้ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่ดอตคอมแตก
สำหรับนักลงทุนที่สนใจ ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย