เมื่อสภาวะตลาดหุ้นไทยไม่สดใสสำหรับนักลงทุนจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ภาพการเติบโตในอนาคตของประเทศไทยไม่ชัดเจน การเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ ไหนจะข่าวร้ายที่เหล่าผู้บริหารฉ้อโกง ทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทยดิ่งลงเหว ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงหล่นไปตาม ๆ กัน ซึ่งบทความนี้จะนำเสนอ 5 วิธีรับมือพอร์ตการลงทุนให้อยู่รอดท่ามกลางภาวะตลาดร่วงลงเหว

สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งใดก็ตาม หรือกังวลกับสภาวะตลาดโดยรวมที่ตกต่ำ คงจะมีคำถามว่าเราควรที่จะทำอย่างไรต่อไปดี? จึงรวบรวมมาเป็น 5 วิธีบริหารพอร์ตการลงทุน รวมถึงจัดการกับความรู้สึกในวันที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ได้แก่

1. ตั้งสติแล้ววิเคราะห์พอร์ตตัวเองก่อน

เริ่มจากการตั้งสติให้ดี แล้วจึงคิดวิเคราะห์ด้วยการหันกลับมาดูสินทรัพย์ที่เรากำลังถืออยู่ ไล่ดูตั้งแต่ข่าวร้ายที่ออกมานั้นกระทบพื้นฐานของกิจการอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งมองถึงผลประกอบการและเงินสดของกิจการว่าในอนาคตนั้นยังมีการเติบโตอยู่ไหม

สิ่งสำคัญคือยิ่งช่วงภาวะตลาดผันผวน การวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานรายตัวอย่างละเอียดยิ่งจำเป็นมากกว่าเดิม เพื่อหาเหตุผลที่หนักแน่นว่าจะถือต่อไปหรือขายออกไปดี

2. คอยอัปเดตข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

เนื่องจากการลงทุนไม่ใช่แค่วิเคราะห์ผ่านกราฟหรืองบการเงินเท่านั้น แต่ต้องคอยติดตามทั้งข่าวปัจจัยภายในที่เกี่ยวกับหุ้นที่เราลงทุน เช่น ผลประกอบการรายปี รายไตรมาส และประกาศสำคัญจากบริษัทที่แจ้งต่อ ก.ล.ต. รวมถึงติดตามปัจจัยภายนอกอย่าง ภาพรวมเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน ช่วยให้เราเข้าใจธุรกิจที่ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น และเพื่อให้นักลงทุนเท่าทันข่าวสารตลอดเวลา จึงมีตัวอย่างแอปพลิเคชันมาแนะนำ ได้แก่

  • Streaming ที่มีระบบ Sense & Notifications ไว้คอยอัปเดต แจ้งเตือนทุกความเคลื่อนไหวของหุ้น – อนุพันธ์ของไทย
  • StockRadars ที่มีฟังก์ชันเรดาร์ ที่จะช่วยคัดเลือกหุ้นให้คุณมาวิเคราะห์ต่อ
  • Investing.com ติดตามข่าวสารข้อมูลการเงินการลงทุนแบบเรียลไทม์จากทั่วโลก

3. กระจายความเสี่ยงในการไปลงทุน

การกระจายทรัพย์สินไปลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในวันที่ตลาดแย่ได้ หากเราไม่กระจายความเสี่ยงใด ๆ เลยก็เหมือนกับการที่เราใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ความเสียหายก็จะเกินควบคุมเช่นกัน

โดยการกระจายความเสี่ยงก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การแบ่งพอร์ตลงทุนในหุ้นหลายอุตสาหกรรม หลายประเทศ หรือแบ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงและสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำตามสัดส่วนที่รับความเสี่ยงไหว แต่หากไม่มีเวลาเลือกลงทุนก็สามารถที่จะลงทุนในกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลให้ เป็นต้น

4. ลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging)

ในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน การซื้อหุ้นครั้งเดียวในปริมาณมากอาจเป็นความเสี่ยงสูง เพราะอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างหนักหรือได้ผลตอบแทนไม่ตรงตามที่คาดหวัง แต่มีวิธีการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า นั่นคือ DCA หรือ Dollar-cost averaging เป็นวิธีการลงทุนแบบทยอยซื้อสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินลงทุนเท่า ๆ กันในแต่ละงวด

ข้อดีของ DCA คือการลดโอกาสขาดทุนจากการลงทุน โดยปฏิบัติตามแผน ใช้วินัย ไม่มีอารมณ์มารบกวนการตัดสินใจ ซึ่งในระยะยาว วิธีนี้จะช่วยให้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำลง ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น

5. เรียนรู้ข้อผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน

ไม่มีนักลงทุนหรือเทรดเดอร์คนไหนไม่เคยผิดพลาด ทุกคนล้วนแต่เคยผ่านวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาแล้วทั้งนั้น แต่ความแตกต่างระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จกับนักลงทุนที่ล้มเหลวคือ ‘การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด’ นั่นเอง

ดังนั้น หากเกิดสิ่งที่ผิดพลาดขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือยอมรับเสียก่อนว่า เนื่องจากเราเป็นคนเลือกเอง และรับผลของการกระทำนั้นอย่างเต็มใจ แล้วจึงเริ่มมองย้อนกลับมาหาสาเหตุที่ทำให้เราซื้อหุ้น แก้ไขเท่าที่ทำได้ แล้วจงเรียนรู้จากการตัดสินใจที่ผิด และจดจำไว้เป็นบทเรียนต่อไป เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และแนวทางการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุด หลายครั้งตลาดหุ้นไม่เป็นไปดังคาด นั่นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณต้องทำความเข้าใจและยอมรับในการผันผวนของราคาหุ้นตามปัจจัยแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไปทุกวัน และการวิตกกังวลจนเกินเหตุ หรือการรีบเทขายหุ้นจึงอาจไม่สร้างประโยชน์ต่อการลงทุนของคุณเลย ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ให้รัดกุมและถี่ถ้วนจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า

โดยหวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนทุกคนที่ลองนำ 5 วิธีที่เรานำเสนอไปประยุกต์ใช้ ซึ่งสามารถช่วยให้การลงทุนของคุณพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน