Tesla หวังว่า รถรุ่นใหม่ที่ราคาถูกลงจะกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากอัตราการเติบโตในปี 2024 ต่ำกว่าคาดการณ์จากปี 2023 ส่งผลให้เปิดตลาดในวันอังคารหุ้นร่วงกว่า 8%
Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 รายได้อยู่ที่ 25,050 ล้านดอลลาร์ เทียบกับที่ Bloomberg คาดการณ์ไว้ที่ 24,630 ล้านดอลลาร์ แต่ยังสูงกว่าที่ Tesla รายงานไว้เมื่อปีที่แล้วเล็กน้อย
และมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ปรับแล้วอยู่ที่ 0.52 ดอลลาร์ เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ 0.60 ดอลลาร์ โดยที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 14.4% จาก 18.7% เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่อัตรากำไรลดลง ซึ่งหดตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี และกำไรที่ลดลงของ Tesla มาจาก 2 สาเหตุ ประกอบด้วย
- ค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทใช้ AI มากขึ้นในการปรับให้ Tesla EV นั้นเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และพัฒนาให้มีหุ่นยนต์เหมือนมนุษย์มาทำงานในโรงงาน
- ปริมาณการส่งมอบรถที่ลดลง ส่งผลให้รายได้หดตัว อีกทั้งบริษัทยังใช้กลยุทธ์แข่งขันด้านราคาและเสนอโปรโมชันอื่น ๆ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
โดย Tesla ยังยืนยัน “แผนการสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ รวมถึงรุ่นที่ราคาถูกลง ยังคงเป็นไปตามแผนเดิมที่จะเริ่มผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 รถยนต์เหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะต่าง ๆ ของแพลตฟอร์มรุ่นถัดไป รวมถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ของแพลตฟอร์มปัจจุบันของเรา และจะสามารถผลิตได้ในสายการผลิตเดียวกันกับกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ปัจจุบันของเรา”
นักวิเคราะห์และผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมหลายคนคิดว่าการเปิดตัวรถ EV ราคาถูกจะกระตุ้นให้ยอดขายรถ EV สูงขึ้น ซึ่งแม้แต่ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอของ Tesla เอง ก็เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
อีกทั้ง อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Tesla ยังคงมั่นใจว่า บริการ Robotaxi แท็กซี่ขับเคลื่อนไร้คนขับจะมาเป็นอนาคตของบริษัท ที่เลื่อนการเปิดตัวจากวันที่ 8 ส.ค. เป็นวันที่ 10 ต.ค. ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ระบบการผลิตแบบแกะกล่อง คล้ายกับการต่อเลโก้ ต่างจากสายการผลิตแบบดั้งเดิมที่ต้องลำเลียงไปตามสายพาน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงแบ่งเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าธุรกิจรถยนต์หลักของบริษัทกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ขณะที่ฝ่ายอื่นยังคงมีความหวังเกี่ยวกับอนาคตตามที่มัสก์สัญญาไว้เกี่ยวกับการขับขี่อัตโนมัติ ระบบ AI และรถแท็กซี่ไร้คนขับ