ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ผลกระทบที่ยังคงหลงเหลือจากการระบาดของโควิด-19 ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศในหลายพื้นที่ เช่น สงครามในเมียนมา ความรุนแรงระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งหมดนี้ทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจสั่นคลอน ประกอบกับความไม่แน่นอนในเวทีการเมืองสหรัฐฯ หลังการชนะเลือกตั้งของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำมาซึ่งการตั้งคำถามถึงทิศทางของเศรษฐกิจโลกในอนาคตและสภาวะเศรษฐกิจไทย
เมื่อเผชิญกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ การทำนายตลาดหุ้นไทยในปี 2568 จึงกลายเป็นหัวข้อที่น่าจับตามอง เราได้รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุด รวมถึงความคิดเห็นจากกูรูการเงินและนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ เพื่อวิเคราะห์ทิศทางที่เป็นไปได้ของตลาดหุ้นไทยในปีหน้า
บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของปัจจัยที่อาจสนับสนุนหรือฉุดรั้งการเติบโตของตลาด พร้อมกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้
สรุปสภาวะตลาดหุ้นไทย ปี 2567
ปี 2567 ถือเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ภาวะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความไม่สงบในตะวันออกกลาง ยังส่งผลให้ราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน นักลงทุนจึงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ความผันผวนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นใน SET Index ซึ่ง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ปิดที่ 1,427.54 จุด ลดลง 2.6% จากสิ้นเดือนตุลาคม แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.8% แต่การซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วง 11 เดือนแรกของปีลดลง 13.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นมีเพียงกลุ่มเทคโนโลยีที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า SET Index ในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงแสดงสัญญาณฟื้นตัวในบางภาคส่วน โดยเฉพาะการเข้าจดทะเบียนของบริษัทใหม่ที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาด
ในด้านปัจจัยลบ ปัญหาการทุจริตในบริษัทจดทะเบียน เช่น กรณีหุ้น STARK และ EA ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน และชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในระบบการกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ การเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจใหม่ แม้ว่าจะมีความคืบหน้า แต่ก็ยังไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นที่เพียงพอ นักลงทุนยังคงจับตามองปัจจัยเสี่ยง เช่น อัตราดอกเบี้ยโลกและราคาน้ำมัน ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
บทเรียนสำคัญจากปี 2567 คือความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์การลงทุนและกระจายความเสี่ยง นักลงทุนนอกจากต้องติดตามปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดในอนาคต การก้าวเข้าสู่ปี 2568 จึงต้องอาศัยการปรับตัวที่รอบคอบ ทั้งในด้านการกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์และการวางแผนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงให้กับตลาดทุนไทยต่อไปในระยะยาว
ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโต (สวรรค์)
กองทุนวายุภักษ์
กองทุนวายุภักษ์ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดต้องการแรงหนุนจากเงินทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโต นโยบายนี้ช่วยดึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตลาด ซึ่งส่งผลบวกต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในภาพรวม การเข้ามาของเงินทุนจากกองทุนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาด แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ผลกระทบเชิงบวกอีกประการคือ การช่วยให้เกิดการพัฒนากลุ่มธุรกิจที่กองทุนให้ความสนใจ เช่น ธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (ESG) หรือกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของตลาดทุนไทยในระยะยาว ทั้งนี้ การจัดตั้งและบริหารกองทุนต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจในประเทศ
นโยบายพักหนี้
นโยบายพักหนี้ของรัฐบาลช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัว นโยบายนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระหนี้สินในระยะสั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกำลังซื้อของกลุ่มเปราะบาง ซึ่งถือเป็นฐานสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ การเลื่อนระยะเวลาชำระหนี้ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ผลดีที่สะท้อนกลับสู่ตลาดหุ้นคือ การเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการบริโภคในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค นักลงทุนอาจพิจารณาหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ที่มีโอกาสฟื้นตัวดีจากมาตรการพักหนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว
Digital Wallet
นโยบาย Digital Wallet ของรัฐบาลเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นเพิ่มกำลังซื้อโดยตรงแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง เงินที่ได้รับผ่าน Digital Wallet ช่วยให้เกิดการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจและกระตุ้น GDP ให้เติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
สำหรับตลาดหุ้น การกระตุ้นการใช้จ่ายนี้จะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก ธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหารและโรงแรม รวมถึงภาคธุรกิจเทคโนโลยีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและสนับสนุนแพลตฟอร์มดิจิทัล นักลงทุนควรจับตามองหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ เนื่องจากมีโอกาสได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายดังกล่าว
การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
แม้ว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการในระยะสั้น แต่นโยบายนี้ช่วยเพิ่มรายได้ของกลุ่มแรงงานซึ่งถือเป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ เมื่อประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น การบริโภคในประเทศก็จะขยายตัว ส่งผลบวกต่อธุรกิจในกลุ่มค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย
นอกจากนี้ การเพิ่มค่าแรงยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้แรงงานเข้ามาในตลาดแรงงานมากขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะยาว นักลงทุนอาจมองหาหุ้นในกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการเพิ่มกำลังซื้อ เช่น กลุ่มค้าปลีกและอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ
โครงการ Entertainment Complex
โครงการ Entertainment Complex ถือเป็นหนึ่งในแผนการลงทุนที่สร้างโอกาสใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย โดยการต่อยอดจุดแข็งของประเทศในด้านการท่องเที่ยว โครงการนี้มุ่งสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการได้รับผลดีโดยตรง
หากโครงการสามารถเกิดขึ้นได้จริง จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทั้งในภาคการก่อสร้าง ค้าปลีก และการขนส่ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน และธุรกิจค้าปลีกในแหล่งท่องเที่ยว จะได้รับอานิสงส์โดยตรง นักลงทุนอาจพิจารณาหุ้นในกลุ่มเหล่านี้เป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2568
อุปสรรคอันท้าทาย (นรก)
แม้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยบวกจากการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ แต่ตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญที่อาจกดดันการเติบโตในระยะยาว
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าข้อมูลในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 จะระบุว่ามีการเข้าซื้อหุ้นไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาท แต่ภาพรวมยังไม่สามารถการันตีได้ว่า Fund Flow จะยังคงไหลเข้าสม่ำเสมอหรือยั่งยืน เนื่องจากความเปราะบางของเศรษฐกิจในระดับสากลและปัจจัยทางการเงินที่ไม่แน่นอน
ความผันผวนจากเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง
แม้ว่าการลดดอกเบี้ยจะมีผลในเชิงบวกต่อดัชนี SET โดยเฉลี่ยในช่วง 6-12 เดือนแรก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจไทยอาจไม่สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นได้อย่างเต็มที่ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นหลังจากการลดดอกเบี้ย เช่นเดียวกับที่เคยเกิดในสหรัฐฯ นอกจากนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีสถิติชี้ว่า Fund Flow จะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหลังการลดดอกเบี้ย แต่ความผันผวนของตลาดทุนทั่วโลกอาจทำให้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นช้ากว่าที่คาด
ค่าเงินบาท
ซึ่งมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น อาจเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคในเวลาเดียวกัน แม้ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นจะช่วยลดแรงกดดันจากต้นทุนการนำเข้า แต่ในขณะเดียวกันก็อาจลดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยในตลาดโลก ยิ่งไปกว่านั้น การแข็งค่าของเงินบาทอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงระมัดระวังในการลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศ เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เสถียรอย่างสมบูรณ์
ในท้ายที่สุด แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยเชิงบวก เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและทิศทางนโยบายรัฐบาลที่ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนในระดับโลก การแข่งขันกับตลาดหุ้นในภูมิภาค และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ส่งผลให้การเติบโตของตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทั้งเวลาและกลยุทธ์ที่รัดกุมในการสร้างความมั่นคงในระยะยาว
บทสรุป: ตลาดหุ้นไทยปี 2568 จะเป็นสวรรค์หรือนรก?
ปี 2568 นับเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญทั้งปัจจัยบวกและลบในระดับที่สูสี โดยปัจจัยบวก เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ การเปิดตัวโครงการขนาดใหญ่ เช่น Entertainment Complex และการกระตุ้นผ่าน Digital Wallet ช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจากปัจจัยลบยังคงมีอยู่ เช่น ความผันผวนในเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลต่อความมั่นคงของตลาดทุน
ในด้านของการฟื้นตัว แม้ตลาดหุ้นจะมีสัญญาณเชิงบวกจากการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ และแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น แต่การเติบโตยังคงถูกกดดันจากความไม่แน่นอนด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนยังต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศและการกำกับดูแลในประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ตลาดหุ้นไทยปี 2568 จะเป็น “สวรรค์” หรือ “นรก” จึงขึ้นอยู่กับการปรับตัวของนักลงทุน รวมถึงการวางแผนการลงทุนที่เหมาะสม ในปีที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเสี่ยงเช่นนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่รอบคอบ และเน้นการติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
บทเรียนนักลงทุนและกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2568
ในปี 2567 สอนให้นักลงทุนตระหนักถึง ความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง และการลงทุนอย่างมีวินัย ความผันผวนที่สูงในปีนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่มีสินทรัพย์ประเภทใดที่ปราศจากความเสี่ยง การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้ หุ้น กองทุนรวม และทองคำ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น
อีกหนึ่งบทเรียนสำคัญคือการมอง การลงทุนในระยะยาว การเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการเงินของตัวเอง และการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลก จะช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ในอนาคต แม้ในปีที่ความผันผวนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การลงทุนด้วยความรู้และความเข้าใจจึงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการรับมือกับตลาดในปีต่อไป