ปัจจุบัน อาชีพฟรีแลนซ์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากความสะดวกในการทำงานและโอกาสสร้างรายได้ที่ไม่จำกัด 

อย่างไรก็ตาม หลายคนยังไม่ทราบแนวทางการเสียภาษีที่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายหรือค่าปรับหากละเลยหน้าที่สำคัญนี้ เพราะการเสียภาษีอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบ แต่ยังสร้างความมั่นคงทางการเงินและเป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอีกด้วย

ประเภทของรายได้ฟรีแลนซ์ที่ต้องเสียภาษี

ก่อนอื่นต้องแยกความแตกต่างของรายได้นี้อาชีพตามกฎหมาย เนื่องจากการทำความเข้าใจประเภทของรายได้ช่วยให้คุณสามารถจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง

โดยกฎหมายไทยแบ่งรายได้ที่ต้องเสียภาษีออกเป็นหลายประเภท สำหรับฟรีแลนซ์ รายได้ส่วนใหญ่อยู่ในประเภทรายได้จากการให้บริการหรือขายทักษะ เงินได้ 40(2) หรือที่เรียกว่า รายได้ประเภทที่ 2

ซึ่งอ้างอิงตามนิยามของกรมสรรพากร เงินได้ประเภทที่ 2 ได้แก่ เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในงานที่ทำ เบี้ยประชุม บำเหน็จ โบนัส เงินจากการรับทำงานให้ทั้งประจำหรือชั่วคราว เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่างรายได้ประจำและรายได้ฟรีแลนซ์

รายได้จากงานประจำ

ความแตกต่างหลักระหว่างรายได้จากงานประจำและรายได้ฟรีแลนซ์ คือวิธีการทำงานและข้อผูกพันที่เกี่ยวข้อง รายได้จากงานประจำเกิดจากการจ้างแรงงานตามสัญญา โดยมีสถานะเป็น “นายจ้าง-ลูกจ้าง” ตามกฎหมายแรงงาน และมีการกำหนดระเบียบในการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ทำงานประจำจะได้รับประโยชน์จากประกันสังคมและสิทธิต่าง ๆ แม้ว่างานจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม และมีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของรายได้

รายได้ฟรีแลนซ์

ในทางกลับกัน รายได้ฟรีแลนซ์มาจากการทำงานเป็นอิสระ โดยผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างอยู่ภายใต้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฟรีแลนซ์ไม่มีระเบียบปฏิบัติงานที่ต้องยึดถือ มีเพียงข้อกำหนดที่จะต้องทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ก็ไม่มีสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม เว้นแต่จะสมัครในฐานะผู้ประกันตนเอง และจะได้รับเงินก็ต่อเมื่องานเสร็จสมบูรณ์ตามข้อกำหนดในสัญญา นอกจากนี้ หากรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยตนเองอีกด้วย

กล่าวโดยสรุปอย่างง่าย งานประจำให้ความมั่นคงในด้านสิทธิประโยชน์และรายได้ที่แน่นอน ในขณะที่งานฟรีแลนซ์เน้นความยืดหยุ่นในการทำงาน แต่ต้องรับผิดชอบเรื่องภาษีและสิทธิประโยชน์ด้วยตัวเองอย่างครบถ้วน


ขั้นตอนการเสียภาษี

  • การคำนวณรายได้

เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

  1. คำนวณรายได้รวม รวบรวมรายได้ทั้งปีจากทุกแหล่งที่จ่ายค่าตอบแทน รวมถึงยอดขายหรือค่าจ้าง
  2. หักค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพฟรีแลนซ์ จะหักจากเงินได้พึงประเมิน โดยหักแบบเหมา 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  3. หักค่าลดหย่อนต่าง ๆ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ประกันสังคม หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท) ประกันสังคม/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าลดหย่อนอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพ การศึกษา บุตร หรือดอกเบี้ยบ้าน
  4. นำเครดิตหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% โดยผู้ว่าจ้างเป็นผู้หักก่อนจ่ายเงินให้ฟรีแลนซ์ (รายได้ที่ถูกหักไปก่อนรับเงินจากนายจ้าง)
  • การยื่นภาษี ภ.ง.ด. 90 สามารถทำได้ 3 วิธี คือ
    1. ยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ด้วยตัวเอง ที่สำนักงานกรมสรรพากรในพื้นที่ที่ตนเองอยู่อาศัย
    2. ยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ด้วยการส่งแบบฟอร์มผ่านไปรษณีย์ แต่ต้องเป็นฟรีแลนซ์ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น
    3. ยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
  • การชำระภาษี
    ชำระได้หลายวิธี เช่น ธนาคาร แอปพลิเคชัน หรือจุดบริการชำระเงินที่ร่วมรายการ

ภาระและบทลงโทษ หากไม่เสียภาษี

หากคุณละเลยการยื่นภาษี กรมสรรพากรมีสิทธิ์ตรวจสอบรายได้ย้อนหลังได้ถึง 5 ปี (หรือ 10 ปีในกรณีที่ไม่ยื่นแบบฟอร์มภาษี) โดยกรมสรรพากรจะทำการตรวจสอบรายได้จากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ ยอดเงินในบัญชีธนาคาร รายการธุรกรรมการขายสินค้า/บริการออนไลน์ รายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada หรือ Fastwork 

ซึ่งถ้าเกิดการตรวจสอบเหล่านี้แล้วอาจสร้างความยุ่งยาก เนื่องจากคุณต้องจัดเตรียมเอกสารแสดงรายได้และค่าใช้จ่ายเพื่อชี้แจงความถูกต้อง 

ค่าปรับและดอกเบี้ย

หากพบว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ยื่นภาษี คุณจะต้องเผชิญกับบทลงโทษดังนี้ 

  1. มีโทษปรับทางอาญาสูงสุด 5,000 บาท จำคุกสูงสุด 6 เดือน 
  2. ค่าปรับ: เสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของค่าภาษีที่ต้องจ่าย รวมถึงการไม่ยื่นแบบฟอร์มภาษีหรือการยื่นข้อมูลเท็จจะต้องเสียค่าปรับสูงสุดถึง 2,000 บาทต่อกรณี
  3. ดอกเบี้ย: เงินภาษีที่ค้างชำระจะถูกคิดดอกเบี้ยในอัตรา 1.5% ต่อเดือน และสะสมจนกว่าจะชำระเต็มจำนวน

และในบางกรณีอาจมีการดำเนินคดีทางกฎหมาย สำหรับผู้ที่ดำเนินธุรกิจออนไลน์หรือฟรีแลนซ์ การถูกดำเนินคดีภาษีอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจในระยะยาว ดังนั้นจึงควรที่จะยื่นภาษีได้ตามเวลาที่กำหนดในรอบปีนั้น ๆ


คำแนะนำด้านภาษีสำหรับฟรีแลนซ์

การจัดการรายได้และการวางแผนภาษีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฟรีแลนซ์ เพื่อให้การคำนวณภาษีแม่นยำและการจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อน และเพิ่มความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ดังนี้

การจัดการรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

การบันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบช่วยให้เห็นภาพรวมของการเงินและทำให้การคำนวณภาษีแม่นยำยิ่งขึ้น การทำบัญชีที่ดีควรประกอบด้วย:

  • การบันทึกรายการประจำวัน จดบันทึกรายรับและรายจ่ายทุกวัน เพื่อป้องกันความผิดพลาดและช่วยในการติดตามการเงิน
  • การใช้โปรแกรมบัญชี มีโปรแกรมบัญชีฟรีที่ช่วยในการบันทึกและจัดการข้อมูล เช่น myAccount, Peak และ RDSMEs ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนในการทำบัญชีและเพิ่มความแม่นยำ

การวางแผนภาษีล่วงหน้า 

การวางแผนภาษีล่วงหน้าช่วยลดภาระและความซับซ้อนในการยื่นภาษี โดย:

  • การใช้บริการที่ปรึกษาภาษี จ้างที่ปรึกษาภาษีสามารถให้คำแนะนำเฉพาะด้าน ช่วยให้จัดการและบริหารภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายและใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มที่
  • การใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษี ใช้โปรแกรมและแอปพลิเคชันที่ช่วยคำนวณภาษี ทำให้กระบวนการยื่นภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความผิดพลาด ตัวอย่างเช่น iTax

การตรวจสอบสิทธิประโยชน์ 

การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างครบถ้วนช่วยลดภาระภาษีและเพิ่มเงินออม โดย:

  • การใช้สิทธิลดหย่อนจากการบริจาค อาทิ การบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้กับองค์กรการกุศลที่ได้รับการรับรอง สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
  • การใช้สิทธิลดหย่อนจากประกันสุขภาพ เบี้ยประกันสุขภาพที่ชำระสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ช่วยลดภาระภาษีและเพิ่มความมั่นคงด้านสุขภาพ

การเสียภาษีอย่างถูกต้องและโปร่งใสเป็นหน้าที่ที่สำคัญของฟรีแลนซ์ ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ธุรกิจในระยะยาว ทั้งนี้ การปฏิบัติตามแนวทางที่แนะนำในบทความจะช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการภาษีได้อย่างมั่นใจและถูกต้อง

การเสียภาษีไม่ได้เป็นเพียงภาระ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพลเมืองที่ดีและมีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน