กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM) คาดการณ์ว่า เงินบาทอาจอ่อนค่ามากขึ้นในเดือนหน้า โดยอาจอยู่ในช่วง 34.00-34.50 บาทต่อดอลลาร์ หากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้า โดยเฉพาะมาตรการ Reciprocal Tariffs ที่อาจกระทบสินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์

ซึ่งล่าสุด สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และเพิ่มภาษีสินค้าอีกหลายรายการจากจีน ขณะที่แคนาดาตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ และผู้นำระดับมลรัฐเตรียมดำเนินมาตรการที่เข้มงวดขึ้น เช่น การระงับการส่งออกพลังงานไปยังสหรัฐฯ

สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล คาดว่าจะลดลงต่อเนื่องตามแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ โดย Fed อาจลดมาตรการ Quantitative Tightening (QT) ลงเพื่อลดความผันผวนของสภาพคล่อง ซึ่งอาจช่วยหนุนให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับลดลงในระยะต่อไป

นายแพททริก ปูเลีย ผู้บริหารฝ่ายตลาดการเงินของ SCB ระบุว่า เงินบาทยังมีความผันผวน โดยเคลื่อนไหวในช่วง 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ราคาทองคำที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่าเงินบาท หากราคาทองลดลง 50 เหรียญภายในวันเดียว เงินบาทมักอ่อนค่าราว 20 สตางค์ นอกจากนี้ เงินยูโรที่แข็งค่าจากปัจจัยการเมืองยุโรปที่ดีขึ้นยังช่วยกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งขึ้นเล็กน้อย

โดย SCB FM วิเคราะห์ว่า ดัชนีเงินดอลลาร์อาจปรับตัวลดลงในระยะต่อไป เนื่องจากตลาดเริ่มลดสถานะถือดอลลาร์ (Long dollar position) หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีเมื่อช่วงต้นปี นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น ดัชนี PMI และความเชื่อมั่นผู้บริโภค เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย ที่อาจทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าในบางช่วง

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโสของ SCB คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมภายในครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากภาวะการเงินไทยยังคงตึงตัวและมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ โดยตลาดให้โอกาส 80% ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนมิถุนายน และมีโอกาส 60% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2568 ไปที่ระดับ 1.50%