ไนกี้ (Nike) คาดการณ์ยอดขายในไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม จะลดลงในอัตราต่ำสุด 10-14% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก โดยบริษัทระบุว่า การคาดการณ์ดังกล่าวเกิดจากการปรับโครงสร้างองค์กร การเผชิญกับภาษีใหม่จากนโยบายรัฐบาลทรัมป์ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ในการประชุมกับนักวิเคราะห์ ทางแม็ก เฟรนด์ (Matt Friend) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของไนกี้กล่าวว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาสที่สี่จะลดลงในระดับต่ำสุดประมาณ 14% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ประมาณ 11.4% อย่างมาก นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงประมาณ 4-5% เนื่องจากการปรับตัวทางธุรกิจและการจัดการสินค้าคงคลังที่เกินความต้องการ

รายงานยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมา ไนกี้มียอดขายในประเทศจีนลดลง 17% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์มาก ทำให้เกิดสินค้าคงคลังที่เก่าและไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก ในขณะที่ในตลาดอเมริกาเหนือซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไนกี้ก็ลดลง 4% สาเหตุหลักของการลดลงนี้มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคเริ่มลดการใช้จ่ายในสินค้าไม่จำเป็น เช่น เสื้อผ้าและรองเท้า

รวมทั้งไนกี้ยังต้องเผชิญกับหลายปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ทั้งการเพิ่มภาษี 20% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ผันผวน และกฎระเบียบด้านภาษีใหม่ ๆ อีกทั้งยังมีปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ซึ่งทำให้ไนกี้ต้องพยายามปรับตัวให้เร็วขึ้น

แม้ว่าการฟื้นฟูธุรกิจของไนกี้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่บริษัทยังคงมั่นใจในแผนการใหม่ที่จะช่วยฟื้นฟูธุรกิจ เช่น การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่าง Pegasus Premium และการร่วมมือกับ Kim Kardashian ในการสร้างสินค้าใหม่ NikeSKIMS ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ไนกี้สามารถดึงดูดผู้บริโภคผู้หญิงและแข่งกับแบรนด์อื่น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

และหากไนกี้สามารถแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จจากการเปิดตัวสินค้าใหม่และการร่วมมือครั้งนี้ได้ ความท้าทายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนักในระยะยาว