เนื่องจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ แต่กำลังซื้อของประชาชนยังฟื้นตัวได้ช้าเมื่อเทียบกับค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น หลายคนเผชิญความท้าทายทางการเงินมากขึ้น ทำให้การเตรียมพร้อมเรื่องการเงินส่วนบุคคลยิ่งเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้
ดังนั้น การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอจะช่วยให้เราพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงานกะทันหัน ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล หรือเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ ได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่ม
ล่าสุด สมาคมนักวางแผนการเงินไทยออกโรงเตือนประชาชนเร่งสร้างเงินสำรองฉุกเฉินในปี 2568 นี้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนมากขึ้น ทั้งจากภาวะข้าวยากหมากแพงภายในและภายนอกประเทศ
ความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉิน
เงินสำรองฉุกเฉิน เปรียบเสมือนเบาะกันกระแทกทางการเงินที่ทุกคนควรมีไว้ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การมีเงินก้อนนี้ช่วยให้เราจัดการปัญหาฉุกเฉินโดยไม่ต้องก่อหนี้เพิ่มหรือนำเงินลงทุนระยะยาวออกมาใช้ก่อนกำหนด
อย่างไรก็ตาม การจะเก็บเงินสำรองจำนวนมากถึงครึ่งปีหรือหนึ่งปีของรายจ่ายได้นั้น ต้องอาศัยวินัยการออมเงินสม่ำเสมอ หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดคือ “เก็บออมก่อนใช้” ทุกครั้งที่มีรายได้เข้าบัญชี ให้กันส่วนหนึ่ง (เช่น 10-20%) ไปเก็บไว้เป็นเงินออมฉุกเฉินทันที เมื่อทำต่อเนื่องก็จะสร้างนิสัยการเงินที่ดีในระยะยาว และเมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ ก็จะบรรลุเป้าหมายเงินสำรองที่ตั้งไว้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี ในปี 2022 มีการสำรวจพบว่าถึง 67.5% ของครัวเรือนไทยไม่มีเงินออมเลย ทำให้เมื่อรายได้สะดุดจะขาดสภาพคล่องทันที ข้อมูลนี้พบว่าคนไทยจำนวนมากยังมีเงินออมไม่เพียงพอ

ควรมีเงินสำรองเท่าไหร่ถึงจะพอ ?
หลักเกณฑ์การกันเงินสำรองโดยผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมนักวางแผนการเงินไทย มักแนะนำคือประมาณ 6-12 เดือนของรายจ่ายจำเป็นต่อเดือน แต่ตัวเลขนี้สามารถปรับตามความมั่นคงของรายได้และภาระของแต่ละคน สำหรับแนวทางง่าย ๆ สามารถพิจารณาตามกลุ่มอาชีพดังนี้
- กลุ่มมนุษย์เงินเดือน ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6 เดือนของเงินเดือน เนื่องจากมีรายได้สม่ำเสมอทุกเดือน กรณีฉุกเฉินเงินก้อนนี้จะช่วยค่าใช้จ่ายช่วงตกงานหรือรักษาตัวได้หลายเดือน
- ส่วนกลุ่มฟรีแลนซ์ หรือผู้มีอาชีพอิสระ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินที่มากกว่านั้น คือประมาณ 12 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน เพราะรายได้ไม่แน่นอนและเสี่ยงขาดรายได้ชั่วคราวสูงกว่าพนักงานประจำ
ซึ่งเดิมทีคำแนะนำทั่วไปคือสำรองไว้ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันมองว่าไม่เพียงพออีกต่อไป สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจึงปรับคำแนะนำเป็น 6-12 เดือน เพื่อความอุ่นใจ
เพราะการมีเงินก้อนนี้ไว้จะช่วยให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่ากินอยู่ ค่าผ่อนบ้าน/รถ และค่าสาธารณูปโภค เพราะในช่วงที่ขาดรายได้ จะได้ไม่ต้องรีบร้อนขายสินทรัพย์ลงทุนระยะยาวหรือก่อหนี้เพิ่ม
แหล่งเก็บเงินสำรองฉุกเฉินที่เหมาะสม
ซึ่งธนาคารกสิกรไทยอธิบายว่าเงินสำรองฉุกเฉินควรเป็นเงินที่มี “สภาพคล่องสูง เบิกถอนได้ง่าย เอามาใช้ได้อย่างรวดเร็ว” เช่น เงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน และไม่ควรนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงหรือขายยากเกินไป
การเลือกที่เก็บเงินสำรอง ควรคำนึงถึง ความปลอดภัย และ สภาพคล่อง เป็นหลัก เงินก้อนนี้ควรพร้อมใช้ทุกเมื่อโดยไม่เสี่ยงขาดทุนหรือติดเงื่อนไขการถอน ดังนั้นแหล่งเก็บเงินที่แนะนำ ได้แก่
- บัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือฝากประจำดอกเบี้ยสูง: ฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ที่แยกต่างหากจากบัญชีใช้จ่ายประจำวัน โดยอาจเลือกบัญชีออมทรัพย์พิเศษหรือบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัลที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ เพื่อให้เงินยังงอกเงยเล็กน้อยขณะรอใช้งาน ข้อดีคือสภาพคล่องสูง เบิกถอนได้ทันทีผ่าน ATM หรือแอปธนาคาร และปลอดภัยเพราะไม่เสี่ยงตลาดผันผวน
- ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีความยืดหยุ่น: เช่น บัญชีฝากประจำที่สามารถถอนก่อนกำหนดได้หรือบัญชีเงินฝากของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐบางประเภท ซึ่งมักให้ดอกเบี้ยสูงกว่าออมทรัพย์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ยังคงถอนใช้ได้เมื่อต้องการ ทั้งนี้ควรตรวจสอบเงื่อนไขการถอนและดอกเบี้ยให้ดี (บางบัญชีอาจเสียดอกเบี้ยถ้าถอนก่อนกำหนด)
- กองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น: เป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยโดยยังรักษาความเสี่ยงต่ำ กองทุนรวมตลาดเงินลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความมั่นคงสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หรือเงินฝากธนาคาร ผลตอบแทนเฉลี่ยปัจจุบันประมาณ 1.0-1.4% ต่อปี และสามารถขายคืนได้เงินภายในวันทำการถัดไป (T+1) ซึ่งถือว่ามีสภาพคล่องสูงมาก อีกทั้งผลตอบแทนของกองทุนลักษณะนี้ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ทำให้เงินทำงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยโดยยังเบิกใช้ได้เกือบทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
หรือเลือกการกระจายเงินสำรองไว้หลายรูปแบบข้างต้นก็เป็นแนวทางที่ดี เช่น อาจเก็บส่วนหนึ่งในบัญชีออมทรัพย์ไว้เผื่อใช้ทันที 1-2 เดือน และนำส่วนที่เหลือไปพักไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรือฝากประจำที่ดอกเบี้ยสูงขึ้น ทั้งนี้ หลีกเลี่ยงการนำเงินสำรองไปลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซี เพราะมูลค่าอาจลดลงมากในช่วงสั้น ๆ จนกระทบความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวได้
คนไทยกับการวางแผนการเงินในปัจจุบัน
แม้คนไทยจะเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการออมและวางแผนการเงินมากขึ้น แต่ระดับการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบยังถือว่าต่ำอยู่
ผลสำรวจทักษะทางการเงินปี 2565 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าคนไทยมีความรู้ทางการเงินและพฤติกรรมการเงินดีขึ้น ได้คะแนนเฉลี่ย 71.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD ที่ 60.5% แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีพื้นฐานความรู้ที่ดีขึ้นในเรื่องการจัดการเงินส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการออม การลงทุน หรือการบริหารหนี้สิน แต่ทว่าในแง่ พฤติกรรม การวางแผนในเชิงรุก เช่น การทำแผนการเงินระยะยาวหรือขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ยังไม่แพร่หลายมากนัก
ข้อมูลจากสมาคมนักวางแผนการเงินไทยระบุว่าขณะนี้มีคนไทยเพียงประมาณ 3% ของประชากรทั้งหมด เท่านั้นที่ใช้บริการวางแผนการเงินอย่างมืออาชีพ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเข้าใจผิดที่ว่า “ต้องรวยมาก ๆ ถึงจะปรึกษานักวางแผนการเงินได้” ทำให้หลายคนลังเลที่จะขอคำแนะนำ
ทั้งที่จริง ๆ แล้วการวางแผนการเงินเหมาะสำหรับคนทุกระดับรายได้ เช่น คนวัยทำงานทั่วไปก็สามารถวางแผนเพื่อเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ซื้อบ้าน เก็บเงินส่งลูกเรียน หรือเตรียมเกษียณอายุได้เช่นเดียวกับผู้มีทรัพย์สินมาก
ความเข้าใจผิดนี้กำลังถูกแก้ไขผ่านการรณรงค์ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้ในมหาวิทยาลัย การจัดสัมมนาการเงินสำหรับประชาชนทั่วไป และการเพิ่มจำนวน นักวางแผนการเงิน (CFP) ในประเทศไทยให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น (ปัจจุบันไทยมี CFP จำนวน 703 คน เพิ่มขึ้น 18.5% ในปี 2567) สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีว่าคนรุ่นใหม่เริ่มสนใจเรียนรู้การวางแผนการเงินมากขึ้น
ในด้านพฤติกรรมการออม คนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยออมเงินอยู่แล้วระดับหนึ่ง สัดส่วนประชากรที่มีการออมเงินระยะสั้นถือว่าสูง แต่ปัญหาคือมักออม “ไม่ถึงเป้าหมายที่เพียงพอ” สำหรับเหตุฉุกเฉินหรือเกษียณ บางคนอาจออมเงินไว้แต่เก็บในที่ที่ไม่งอกเงยหรือไม่ปลอดภัย เช่น ฝากเงินทั้งหมดไว้ในบัญชีออมทรัพย์ธรรมดาที่ดอกเบี้ยต่ำจนเงินเติบโตไม่ทันเงินเฟ้อ หรือนำเงินเก็บไปลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่กันส่วนเผื่อฉุกเฉิน ผลคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ยังไม่พร้อม การปรึกษานักวางแผนการเงินหรือศึกษาด้วยตนเองจะช่วยให้วางแผนได้ครบทุกมิติ ทั้งการบริหารสภาพคล่อง การจัดการหนี้ และการลงทุนระยะยาวอย่างเหมาะสม
สุดท้ายนี้ การวางแผนการเงินไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเครื่องมือที่ทุกคนสามารถใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายชีวิตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการมีชีวิตเกษียณที่สุขสบาย การส่งเสียบุตรหลานให้ได้รับการศึกษาเต็มที่ หรือแม้แต่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปัจจุบันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต
ดังนั้น การเริ่มเก็บออมเพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการวางแผนเหล่านั้น เมื่อเรามีเกราะป้องกันทางการเงินที่แข็งแรงแล้ว ก็สามารถวางใจเดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่ขึ้นได้อย่างมั่นใจ เพราะเราได้พิสูจน์แล้วว่า “การวางแผนการเงินที่ดีเป็นของทุกคน” และเป็นรากฐานของความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวของเราทุกคน