สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ประกาศปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากมาลงอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับลดวงเงินคุ้มครองดังกล่าวเป็นไปตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ที่มีวัตถุประสงค์ในการรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและคุ้มครองผู้ฝากเงินรายย่อย ไม่ใช่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID 19 อย่างที่หลายคนกังวล

แล้วการปรับลดวงเงินคุ้มครองครั้งนี้ ประชาชนผู้ฝากเงินอย่างเราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? วันนี้แบไต๋ให้รู้เลย!

สถาบันคุ้มครองเงินฝากคือใคร?

สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) มีสถานะเป็นหน่วยงานรัฐ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ทำหน้าที่ในการคุ้มครองเงินฝากของผู้ฝากเงิน ในกรณีที่สถาบันการเงินล้มละลาย ปิดกิจการ หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต ทาง สคฝ. จะจ่ายคืนเงินฝากให้เราภายใน 30 วัน

ใครบ้างได้รับความคุ้มครอง?

ผู้ฝากที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจะได้รับความคุ้มครองทันที เมื่อเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก โดยไม่ต้องดำเนินการใด ๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง

ความคุ้มครองเงินฝากจะมีลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝาก ต่อ 1 สถาบันการเงิน โดยนำเงินฝาก (ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย) ของผู้ฝากแต่ละรายในทุกสาขา และทุกบัญชีของสถาบันการเงินแห่งนั้นมาคำนวณรวมกัน

กรณีชาวต่างชาติที่เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก จะได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับผู้ฝากที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล หากเป็นบัญชีเงินฝากภายในประเทศที่เป็นเงินสกุลบาท ยกเว้นบัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ

ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก
Photo created by jcomp – www.freepik.com

ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง ปัจจุบันมี 5 ประเภท ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน, เงินฝากออมทรัพย์, เงินฝากประจำ, บัตรเงินฝาก และใบรับฝากเงิน ส่วนสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ปัจจุบันมีทั้งหมด 34 แห่ง (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2564) ได้แก่

ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (18 แห่ง)

  • ธนาคารกรุงเทพ
  • ธนาคารกรุงไทย
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
  • ธนาคารกสิกรไทย
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต
  • ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
  • ธนาคารไทยพาณิชย์
  • ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
  • ธนาคารยูโอบี จำกัด
  • ธนาคารทิสโก้ จำกัด
  • ธนาคารเกียรตินาคินภัทร
  • ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
  • ธนาคารไอซีบีซี (ไทย)
  • ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย
  • ธนาคารเมกะ สากลพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย)
  • ธนาคารเอเอ็นแซด (ไทย)
  • ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย)  

สาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ (11 แห่ง)

  • ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส
  • ธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น
  • ธนาคารซิตี้แบงก์
  • ธนาคารอาร์ เอช บี
  • ธนาคารแห่งอเมริกา เนชั่นแนล แอสโซซิเอชั่น
  • ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น
  • ธนาคารดอยซ์แบงก์
  • ธนาคารมิซูโฮ
  • ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์
  • ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น
  • ธนาคารอินเดียน โอเวอร์ซีส์

บริษัทเงินทุน (2 แห่ง)

  • บง.ศรีสวัสดิ์
  • บง.แอ็ดวานซ์ 

บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (3 แห่ง)

  • บค.เอสเบ
  • บค.เวิลด์
  • บค.แคปปิตอล ลิ้งค์

จะได้เงินฝากคืนเท่าไร? แล้วเงินจ่ายคืนมาจากไหน?

ปัจจุบัน วงเงินคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 5 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน แต่ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป จะลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน ดังนั้น เมื่อสถาบันการเงินล้มละลาย ปิดกิจการ หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต ทาง สคฝ. จะจ่ายคืนเงินฝากด้วยเงินของ ‘กองทุนคุ้มครองผู้ฝาก’ ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งเป็นสมาชิกและส่งเงินสมทบเป็นประจำในอัตรา 0.01% ของยอดเงินฝาก ไม่ใช่การนำเงินภาษีของประชาชนมาจ่ายคืนอย่างที่หลายคนกังวล

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า แม้จะลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน แต่ก็ยังครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สูงถึง 98.0% หรือครอบคลุมผู้ฝากเงิน 82.1 ล้านราย สอดคล้องกับหลักการของการคุ้มครองเงินฝากที่เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน

โควิดระบาดหนัก-แบงก์ใกล้ล้ม ต้องรีบปรับลดวงเงินคุ้มครอง?

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ว่า การปรับลดวงเงินดังกล่าว เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ที่ทยอยปรับลดวงเงินจากการคุ้มครองเต็มจำนวนเป็นขั้นบันไดลงมา เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาปรับตัว ทั้งนี้ ปัจจุบัน ผู้ฝากแต่ละรายจะได้รับการคุ้มครองเงินฝากวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับการฝากเงินที่สถาบันการเงินแต่ละแห่ง และนับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป การคุ้มครองดังกล่าว จะลดลงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ออกมาให้ความมั่นใจว่า มีการกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด โดยสถาบันการเงินไทยมีความเข้มแข็ง สะท้อนจากระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ระดับร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค และมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ซึ่งสามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID 19 ได้

อนึ่ง การปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2552

ผู้ฝากเงินต้องเตรียมตัวอย่างไร?

เมื่อวงเงินคุ้มครองเงินฝากลดมาลงอยู่ที่ 1 ล้านบาท หากเรามีเงินฝากในบัญชีไม่ถึงก็สบายใจได้ คุณจะได้รับความคุ้มครองแน่นอน หากมีเงื่อนไขครบถ้วน ส่วนผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีเกิน 1 ล้านบาท อาจนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ แทน หรือจะไม่ดำเนินการใด ๆ ก็ได้เช่นกัน หากมีความมั่นใจในสถาบันการเงิน

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สถาบันการคุ้มครองเงินฝาก, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ภาพปก : mrsiraphol – www.freepik.com

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส