เมื่อต้นสัปดาห์ตลาดการเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกต้องปั่นป่วนเนื่องจากความวิตกกังวลว่าเอเวอร์แกรนด์ (Evergrande) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลกกว่า 300,000 ล้านเหรียญ (10 ล้านล้านบาท) ซึ่งอาจจะผิดนัดชำระหนี้และเลวร้ายถึงขั้นประกาศล้มละลาย จึงกลัวกันว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนและคู่ค้าที่เป็นธุรกิจรายใหญ่ทั่วโลก
กลางดึกของวันจันทร์จนถึงเช้าวันอังคารบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลได้ถูกเทขายจนราคาร่วงลงมาอีกครั้ง ซึ่งช่วงเช้าบิตคอยน์ได้ร่วงลงมาที่ 40,192 เหรียญ (1,341,588 บาท) หลังจากได้แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 52,000 เหรียญ (1,735,734 บาท) ส่วนอีเทอเรียมได้ตกลงมาต่ำกว่า 3,000 เหรียญ (100,140 บาท) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงนักลงทุนก็ได้เริ่มผ่อนคลายความกังวลส่งผลให้บิตคอยน์เริ่มฟื้นขึ้นมาที่ราคาประมาณ 43,000 เหรียญ (1,434,738 บาท) และอีเทอเรียมได้เพิ่มขึ้นมา 1% เป็น 3,012 เหรียญ (100,498 บาท)
เอเวอร์แกรนด์จะมีการชำระดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 5 ปีที่ยอด 83 ล้านเหรียญ (2,770 ล้านบาท) ในวันพฤหัสฯ นี้และ 29 กันยายนจะจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 7 ปี ซึ่งในวันอังคาร Xu Jiayin ประธานของเอเวอร์แกรนด์ให้คำมั่นกับพนักงานว่าจะเดินออกจากความมืดหรือวิกฤตหนี้สินโดยเร็วที่สุด และมีการรอดูกันว่ารััฐบาลจีนจะเข้ามาแทรกแซงปัญหานี้หรือไม่อย่างไร
บิตคอยน์เริ่มไต่ข้ามระดับ 40,000 เหรียญ (1,320,199 บาท) อีกครั้งเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม หลังจากร่วงลงมาอย่างหนักต่ำกว่าระดับ 30,000 เหรียญ (95,000 บาท) ในเดือนมิถุนายนเนื่องจากจีนมีนโยบายปราบปรามการขุดสกุลเงินดิจิทัลทั่วประเทศ และต้นเดือนกันยายนสามารถทะลุระดับ 50,000 เหรียญอยู่ที่ 50,188.4 เหรียญ (1,630,119.23 บาท) ซึ่งกำลังได้การยอมรับจากธนาคารและการออกกฎหมายของเอลซัลวาดอร์ให้บิตคอยน์เป็นเงินถูกต้องตามกฎหมาย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส