หลังจากที่เมตา (Meta) สมัยที่ยังเป็นเฟซบุ๊ก (Facebook) อยู่ ได้เปิดตัวคริปโทเคอร์เรนซีรูปแบบ Stable Coin (หรือเหรียญที่พยายามมีมูลค่าคงที่) นามว่า ‘Libra’ ทีมีผู้ร่วมก่อตั้งเป็น 27 บริษัทชั้นนำเช่น Mastercard, Visa, eBay, Paypal, Spotify, Uber, Lyft, Vodafone หรือกระทั่ง Coinbase ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อยู่มายาวนาน หลังจากผ่านมรสุมทั้งการเปลี่ยนชื่อไปเป็น Diem Association เพื่อให้เป็นอิสระมากขึ้น หลังจาก Facebook ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ และการปรับแผนให้ไปใช้ Libra 2.0 แทน ล่าสุดทาง Diem ได้ออกมาประกาศพับโปรเจกต์ทั้งหมด และเตรียมขายสินทรัพย์เพื่อคืนเงินให้กับผู้ลงทุนแล้ว
โดยสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จัดการกับ Diem โดยกดดัน Silvergate หุ้นส่วนธนาคารที่ Diem กล่าวไว้ว่าเป็นพันธมิตรกันเมื่อปีที่แล้วเพื่อเปิดตัวเหรียญใหม่นี้ ซึ่งทำให้การเปิดตัวนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบากมากขึ้นไปอีก ทางด้านของ ไมเคิล คริทเทนเดน (Michael Crittenden) กล่าวว่า ข่าวที่ทาง Bloomberg ได้กล่าวเอาไว้นั้น ‘มีส่วนที่ผิดเล็กน้อย’ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่จริงแต่อย่างใด
ทาง Diem Association ได้เริ่มออกมาปล่อยขายสินทรัพย์ของทางเขาแล้ว ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้ว่าคริปโทเคอร์เรนซีของทาง Diem นั้นไม่น่าจะไปต่อได้ ในตอนแรกนั้น Libra ตั้งใจให้เป็นโทเค็นดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากสกุลเงินต่าง ๆ จากทั่วโลก แต่หน่วยงานที่กำกับดูแลของทางสหรัฐฯ ก็ได้หยุดความคิดนั้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีการสร้างการออกแบบที่เรียบง่ายขึ้น โดยการรีแบรนด์ Diem ที่ตรึงราคาไปเป็นดอลลาร์ (เหมือน USDT หรือ USDC) ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า นั่นยังไม่ดีพอ
นอกจากที่จะโดนทางการเข้ามาขัดขวางการสร้างเหรียญนี้แล้ว ทางเมตา (เฟซบุ๊ก) เองก็เพิ่งเปิดตัวกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ตอนแรกสร้างขึ้นเพื่อใช้เหรียญ Diem แต่กลับสร้างด้วยเหรียญ Stablecoin อื่นจาก Paxos แทน อีกทั้งเดวิด มาร์คัส (David Marcus) ผู้บริหารที่เสนอ Libra เป็นคนแรก ๆ และเป็นผู้นำในการออกแบบกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Meta ได้ลาออกจากบริษัทไปเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากที่ทีมผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้สละเรือไปอยู่บริษัทอื่นจนหมด
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หน่วยงานเฝ้าระวังของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพวกเขาต้องการให้ผู้ออก Stablecoin ควรได้รับการควบคุมจากธนาคาร หากโทเค็นเหล่านั้นมีไว้ใช้เป็นเครื่องมือในการซื้อและขายสิ่งของ คณะทำงานของประธานาธิบดีในตลาดการเงินกล่าวในรายงาน กลุ่มผู้กำกับดูแลกล่าวว่าพวกเขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเครือข่ายขนาดใหญ่ของผู้ใช้ของบริษัทเทคโนโลยีเริ่มทำธุรกรรมในสกุลเงินใหม่อย่างกะทันหัน และการรวมผู้ออก Stablecoin เข้ากับบริษัทขนาดใหญ่ ‘อาจนำไปสู่การกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจที่มากเกินไป’ ได้
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส