ในค่ำคืนวันที่ 4 เมษายน 2567 นี้ จะเป็นการกลับมาเยือนถิ่นเก่าที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ครั้งแรกของ เมสัน เมาท์ (Mason Mount) ในฐานะคู่แข่งนับตั้งแต่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่การย้ายทีมในครั้งนี้เต็มไปด้วยประเด็นดราม่า ที่ทำให้แฟนบอลเชลซีบางส่วนเกิดความไม่พอใจ เรียกได้ว่าจบไม่สวยเท่าไหร่
จากเด็กลูกหม้อของสโมสรที่หลายคนบอกว่าจะขึ้นมาเป็นตำนานสโมสรต่อจากจอร์น เทอรี่ ถูกคาดการณ์ว่าอนาคตจะเป็นไอคอนของสโมสร การเดินทาง 18 ปีของ เมสัน เมาท์ ที่อยู่กับเชลซียุติลงอย่างไร อะไรเป็นจุดเปลี่ยน เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นเราจะมาไล่เรียงกัน
เส้นทางของ เมสัน เมาท์ กับเชลซี
เมสัน เมาท์ เกิดที่แฮมป์เชียร์ เมืองพอร์ตสมัธ พ่อของเขาเคยเป็นอดีตนักฟุตบอลนอกลีก ซึ่งได้หันมาเป็นโค้ชของสโมสรท้องถิ่นในเวลาต่อมา ในตอนที่ เมสัน เมาท์ เป็นเด็กได้เล่นให้กับทีม โบอาร์ฮันท์ โรเวอร์ส และ ยูไนเต็ด เซอร์วิส พอร์ตสมัธ โดยตอนอายุ 4 ขวบ เขาได้เข้าไปฝึกกับทีมอคาเดมีของทั้ง พอร์ตสมัธ พออายุได้ 6 ขวบ ตัวเขาได้เข้ามาเป็นนักเยาวชนที่ศูนย์ฝึกค็อบแฮมของเชลซี ตัวเขาอยู่กับทีมเยาวชนของเชลซีถึง 12 ปี ก่อนที่จะถูกเลื่อนขึ้นชุดใหญ่ในปี 2017 เรียกได้ว่าเป็น ผลผลิตจากค็อปแฮมเลยก็ว่าได้
ฤดูกาล 2017-2018
เมสัน เมาท์ ถูกปล่อยยืมให้กับสโมสร วิเทสส์ อาร์เนม ในลีกเนเธอร์แลนด์ 1 ฤดูกาล ลงเล่นไป 39 นัด ทำไป 14 ประตู กับ 10 แอสซิสต์ เรียกได้ว่าเริ่มฉายแววตั้งแต่ตอนนั้น
ฤดูกาล 2018-2019
เมสัน เมาท์ ถูกปล่อยยืมอีกครั้งให้ไปเล่นกับดาร์บี้ เคาน์ตี้ 1 ฤดูกาล ที่ตอนนั้นแฟรงค์ แลมพาร์คคุมทัพอยู่ เขากลายเป็นกำลังหลักคนสำคัญของทีม ซึ่งในฤดูกาลนับเป็นฤดูกาลที่แจ้งเกิดได้เลย ตัวเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำ 11 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ พาทีมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นได้แต่สุดท้ายไปไม่ถึงฝั่งฝันพ่ายต่อแอสตัน วิลล่า 2-1 พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย
ฤดูกาล 2019-2020
เชลซีถูกยูฟ่าลงโทษห้ามลงทะเบียนนักเตะใหม่ เนื่องจากทำผิดกฎในการซื้อขายนักเตะที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป อีกทั้งในฤดูกาลนี้เชลซีได้ดึง แฟรงค์ แลมพาร์ด มาเป็นผู้จัดการทีม จึงเป็นโอกาสของนักเตะอคาเดมีที่โอกาสขึ้นมา ทั้ง แทมมี่ อับราฮัม, รีซ เจมส์ และรวมไปถึงตัว เมสัน เมาท์ ที่เป็นคนคุ้นเคยสมัยที่ แลมพาร์ด คุมทีมที่ดาร์บี้ เคาร์ตี้ เรียกได้ว่าเจ้านายกับลูกน้องที่รู้มือกันอยู่แล้ว ทำให้ เมสัน เมาท์ กลายเป็นกำลังหลักของทีมในฤดูกาลนั้น และได้มีการต่อสัญญาระยะยาวไปอีก 5 ปี ให้ค่าเหนื่อย 80,000 ปอนด์ ถือเป็นตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับนักเตะวัย 20 ปีที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง
ฤดูกาล 2020-2021
มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือในช่วงกลางฤดูกาลจากแฟรงค์ แลมพาร์ด มาเป็นโทมัส ทูเคิ่ล แต่เขาก็ยังได้รับการไว้วางใจจากตัวกุนซือ เป็นนักเตะคนสำคัญ ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง สามารถปรับตัวเข้ากับแท็กติกของทูเคิ่ล ได้อย่างลงตัวในระบบ 3-4-2-1 โดยตัวเขาต้องเล่นเป็นตัวรุกทางฝั่งซ้าย ด้วยความขยัน พลังงานสูง มีส่วนร่วมกับทั้งเกมรับและเกมรุก ทำให้ตัวเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในฤดูกาลนั้นเขา ทำประตูไป 9 ประตู กับอีก 9 แอสซิสต์
อีกทั้งยังมีส่วนร่วมกับประตูในนัดสำคัญ ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่น การยิงประตูใส่เรอัล มาดริดในรอบรองชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ การแอสซิสต์ให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ยิงประตูในนัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี้
ผลงานส่วนตัว ได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี ถือเป็นนักเตะจากชุดเยาวชนคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ต่อจาก จอร์น เทอรี่
ผลงานเชลซีในปี 2020-2021 จบอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีก, คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และ เป็นรองแชมป์เอฟเอ คัพ
ฤดูกาล 2021-2022
เมสัน เมาท์ยังคงเป็นกองกำลังหลัก ที่ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง พาเชลซีเข้าชิงบอลถ้วยทั้ง 2 รายการคือ คาราบาวคัพ และ เอฟเอ คัพ อีกทั้งยังพาทีมคว้าแชมป์สโมสรโลก และ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ มาครองในฤดูกาลนี้เขาทำไปถึง 13 ประตู และอีก 18 แอสซิสต์ อีกทั้งเขาได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีอีกครั้ง นับเป็น 2 ปีติดต่อกัน
แม้ว่าจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ค่าเหนื่อยของเขายังอยู่ที่ 80,000 ปอนด์ ซึ่งถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับผู้เล่นคนอื่นในขณะนั้น ได้น้อยกว่า คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย หรือ มาลัง ซาร์ ด้วยซ้ำ
แต่ในฤดูกาลนี้มีจุดเปลี่ยนสำคัญคือเชลซีโดนรัฐบาลอังกฤษคว่ำบาตร ทำให้ โรมัน อับมาโมวิช ลาทีมไป ทำให้เชลซีไม่สามารถที่จะต่อสัญญานักเตะได้
ฤดูกาล 2022-2023
มีกลุ่มทุนใหม่เข้ามานำทีมโดย ท็อด โบลลี่ เข้ามาเทกโอเวอร์เชลซีแบบเต็มตัว มีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดบริหาร ทีมงาน และ สตาฟโค้ช รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงกุนซือจาก โทมัส ทูเคิ่ล เป็น เกรแฮม พอตเตอร์ ในฤดูกาลนี้เรียกว่าเป็นฤดูกาลที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่สำหรับแฟนบอลเชลซี ผลงานของทีมจมดิ่งลง รวมถึงฟอร์มของเมสัน เมาท์ดร็อปลงอย่างน่าใจหายและมีอาการบาดเจ็บเข้ารบกวน ในฤดูกาลนี้เขาทำไปเพียง 3 ประตู กับ 2 แอสซิสต์
ผลงานเชลซีในปี 2022-2023: จบอันดับ 12 ในพรีเมียร์ลีก
สาเหตุสำคัญที่เมสัน เมาท์เลือกย้ายออกจากเชลซี
Simon Johnson จากสื่อ the athletic ได้ออกมาเปิดเผยว่า อันที่จริงเชลซีอยากต่อสัญญา เมสัน เมาท์ตั้งแต่จบนัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2021 แต่ในขณะนั้นนักเตะยังไม่ได้เรียกร้องอะไร เชลซีเลยเปลี่ยนโฟกัสไปในการต่อสัญญา อันโตนีโอ รูดิเกอร์ก่อน และ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่เหลือสัญญา 1 ปี แต่เชลซีต้องเจอจุดเปลี่ยนคือการโดนคว่ำบาตร ทำให้โรมัน อับราโมวิชต้องลาทีมไป
มีการเปลี่ยนเจ้าของ เปลี่ยนบอร์ดบริหาร ทำให้เชลซีพลาดโอกาสในการต่อสัญญาทั้ง รูดิเกอร์ และ คริสเตนเซ่น นั้นจึงบทเรียนให้บอร์ดบริหารเชลซีทราบว่าจะไม่ยอมเสียตัวหลักแบบฟรี ๆ อีกแล้ว ถ้าผู้เล่นคนไหนมีแนวโน้มที่จะหมดสัญญาและไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่หลังจากนั้น คือขายอย่างเดียว
ในช่วงที่เปลี่ยนเจ้าของเป็นท็อด โบลี่ก็อยากต่อสัญญากับเมสัน เมาท์ และความคิด เมสัน เมาท์ ในช่วงแรกๆที่ ท็อดด์ โบห์ลี เข้ามาก็อยากต่อสัญญาเหมือนกัน แต่จุดเปลี่ยนของการเจรจามันเริ่มจากเชลซี การไปเซ็นกับทาง ราฮีม สเตอร์ลิง และ คาลิดู คูลิบาลี่ เข้ามา ในตอนนั้นเชลซียังไม่ได้ใช้นโยบายใหม่เรื่องค่าเหนื่อย ซึ่งทั้ง สเตอร์ลิง และ คูลิบาลี่ มาได้ค่าเหนื่อยสูงถึงประมาณ 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์และไม่มีการลดค่าเหนื่อยตามผลงาน พอเซ็น 2 ดีลนี้ไป บอร์ดบริหารเชลซีเริ่มมีความคิดว่าถ้าเซ็นสัญญาแบบนี้ทุกดีลน่าจะไม่เวิร์ก
เชลซีจึงเริ่มมีการเปลี่ยนนโยบายใหม่หลัง 2 ดีลนี้ นั้นก็คือ ค่าเหนื่อยนักเตะหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเซ็นสัญญานักเตะใหม่คนไหนเข้ามาหรือการต่อสัญญานักเตะปัจจุบันสัญญาจะเป็นรูปแบบ ค่าเหนื่อยที่ให้ตามผลงาน วัดจากฟอร์มการเล่น เพื่อไม่ให้เพดานค่าเหนื่อยสูงเกินไป
ซึ่งแนวทางนี้เอามาใช้ในการเจรจาสัญญาใหม่กับ รีซ เจมส์ ซึ่งทางด้าน รีซ เจมส์ ไม่มีปัญหากับนโยบายนี้และต่อสัญญากับเชลซี รับค่าเหนื่อยประมาณ 250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ จากเดิมที่รับอยู่ 58,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ถ้าไม่ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนลีกส์ต้องลดค่าเหนื่อย 30% ซึ่งข่าวบอกว่าเชลซียินดีเสนอค่าเหนื่อยให้กับทาง เมสัน เมาท์ ด้วยเรทที่ใกล้เคียงกับ รีซ เจมส์
แต่แม้จะเสนอค่าเหนื่อยให้ใกล้เคียงกับทาง รีซ เจมส์ แล้ว ทาง เมสัน เมาท์ ก็ยังไม่พอใจ ซึ่งเจ้าตัวต้องการค่าเหนื่อยในเรทที่ใกล้เคียงกับสถิติสโมสร ซึ่งถ้าดูในขณะนั้นค่าเหนื่อยที่เป็นสถิติคือ ลูกากู สเตอร์ลิง และ คูลิบาลี่ โดยได้อยู่ประมาณ 320,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ซึ่งปัญหาก็คือ ทีมงานของ เมสัน เมาท์ มองว่าทำไม คูลิบาลี่และสเตอร์ลิง ถึงได้สิทธิเหนือกว่าผู้เล่นคนอื่น ถ้าทีมฟอร์มตก ไม่ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกทำไมไม่โดนลดค่าเหนื่อย แต่ถ้าตัวเขาหรือทาง รีซ เจมส์ที่เพิ่งต่อสัญญาไปก่อนหน้าทำไมต้องยอมลดค่าเหนื่อย
ทางทีมงานของเมสัน เมาท์ก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม บวกกับสัญญาที่เชลซีเสนอมาให้เกิน 5 ปี โดยเมสัน เมาท์ไม่อยากเซ็นสัญญากับเชลซียาวเกินไปเพราะมองตัวเองยังอายุน้อย ถ้าเซ็นสัญญายาวเกิน 5 ปี พอหมดสัญญาอายุเกือบ 30 ปี จะพลาดโอกาสในเพิ่มค่าเหนื่อยในช่วงวัยกำลังพีค
แหล่งข่าวบอกว่าเชลซีเสนอสัญญาให้กับ เมสัน เมาท์หลายรอบมากๆ มีการเสนอไป 4-5 รอบ ด้วยค่าเหนื่อยบวกแอดออนเรทใกล้เคียงกับ รีซ เจมส์ แต่สายข่าวของ เมสัน เมาท์โต้กลับว่าทางเชลซียื่นข้อเสนอมาแค่ 2 รอบเท่านั้น การเจรจามีการยืดเยื้อล่าช้าเนื่องจากในปีนั้นมีการแข่งขันฟุตบอลโลก
หลังจบฟุตบอลโลกก็มีการเจรจากันต่อ มีช่วงที่ทิศทางเริ่มดีขึ้น แต่เหมือนทีมของ เมสัน เมาท์ และคุณพ่อไม่พอใจที่หลังฟุตบอลโลกเชลซีไปเอาผู้บริหารอย่าง พอล วินสแตนลี่ย์ มาคุยแทน เพราะที่ผ่านมาคุยกับเจ้าของสโมสรตลอด จะเอาผู้บริหารมาคุยแทนทำไม มันเหมือนการเจรจาต้องมาเริ่มใหม่หมด หลังจากนั้น เมสัน เมาท์ มีการเปลี่ยนเอเยนต์ ทำให้ทางเชลซีเริ่มรู้สึกไม่โอเค โดยมองว่าเปลี่ยนเอเยนต์เพราะอยากย้ายออกจากทีม
แต่เชลซีก็ยังยื่นข้อเสนอให้ใหม่เป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เป็นสัญญาระยะสั้นเพื่อซื้อเวลา แต่ทางทีมของ เมสัน เมาท์ มองว่าทางเชลซีไม่ให้เกียรติกัน เนื่องจากในสัญญาทางเชลซีมีการใส่ออปชั่นค่าฉีกสัญญาไว้ที่ 70 ล้านปอนด์ เหมือนต่อสัญญาเพื่อให้ขายได้เงินมากขึ้น ทำให้เกิดความไม่พอใจ ทาง เมสัน เมาท์ เลยตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับเชลซี
สรุปก็คือการต่อสัญญาในครั้งมันอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ลงล็อคกัน ในช่วงที่ เมสัน เมาท์ ฟอร์มดีก็ไม่คุยสัญญากันแบบจริงจัง มาคุยกันจริงจังในช่วงที่ เมาท์ ฟอร์มตก ซึ่งสามารถเข้าใจได้ทั้ง 2 มุม ด้านเมาท์ ก็มองว่าตัวเองเคยฟอร์มดีเพิ่งฟอร์มตกฤดูกาลนี้ก็อยากได้ค่าเหนื่อยสูง ๆ
ส่วนด้านเชลซีก็มองว่า ก็ในเมื่อฟอร์มตกค่าเหนื่อยก็ไม่ควรสูงเกิน อีกทั้งเชลซีต้องพยายามคุมเพดานค่าเหนื่อยนักเตะไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งแต่ละมุมก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ทำให้การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ
ดราม่าระหว่างแฟนเชลซี กับ เมสัน เมาท์
หลังจากเมสัน เมาท์ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับทีมและเลือกย้าย ตัวเขาก็ได้อัดคลิปอำลาแฟนบอล โดย เมสัน เมาท์ กล่าวว่า
“สวัสดีแฟนเชลซีทุกคน จากการคาดการณ์ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเรื่องที่ผมกำลังจะพูด อาจจะไม่ได้ทำให้พวกคุณแปลกใจ แต่มันไม่ง่ายสำหรับผมเลยที่จะบอกว่า ผมตัดสินใจย้ายออกจากเชลซีแล้ว มันไม่ง่ายที่ผมต้องพูดกับพวกคุณแบบนี้ ผมรู้สึกว่าแฟนเชลซีสมควรได้รับการบอกลาครั้งนี้จากการพูดมากกว่าที่จะเป็นลายลักษณ์อักษร”
“ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากบอกกับพวกคุณโดยตรงว่าผมขอขอบคุณการสนับสนุนที่มีมาตลอด 18 ปี ผมรู้ว่าพวกคุณบางคนไม่แฮปปี้กับการตัดสินใจของผม แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับผมในช่วงอาชีพตอนนี้”
“ผมเข้ามาอยู่กับ เชลซี ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเราผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันโดยตลอดทั้งคว้าแชมป์ เอฟเอยูธคัพ , รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี, แชมป์ซูเปอร์คัพ , แชมป์สโมสรโลก และแน่นอนคืนที่ไม่อาจลืมได้ตอนที่เราได้แชมป์ แชมเปียนส์ลีก”
“ผมอยากขอบคุณอะคาเดมีสำหรับการมีอิทธิพลต่อผมตั้งแต่วัยเด็ก ผู้จัดการทีมที่ผมเคยร่วมงาน , ทีมงานและสตาฟ , เพื่อนร่วมทีมทุกคนตลอดหลายปีที่ผ่านมาซึ่งเราก็กลายเป็นเหมือนพี่น้องกัน และที่สำคัญที่สุด ขอบคุณแฟนบอลเชลซีทุกคนที่คอยเคียงข้างผมมาโดยตลอด ขอให้พวกคุณทุกคนพบแต่เรื่องดี ๆ ในทุกๆด้านต่อจากนี้”
ทว่าหลังจากคลิปนี้ออกไปทำให้แฟนบอลเชลซีบางส่วนเกิดความไม่พอใจเนื่องจากแฟนบอลจับสังเกตได้ว่าสีผมของ เมสัน เมาท์ ไม่ใช่สีผมในปัจจุบัน แสดงเห็นว่ามีการอัดคลิปไว้ก่อน มีความตั้งใจที่จะย้ายออกมาก่อนแล้ว
สร้างความไม่พอใจให้แฟนเชลซีอย่างมาก ในมุมมองแฟนเชลซีนี่คือการไม่ให้เกียรติกัน นักเตะที่เป็นลูกหม้อของสโมสร น่าจะอยู่ช่วยทีมในช่วงที่สโมสรตกต่ำ แต่เมาท์เลือกปฏิเสธทุกข้อเสนอเพื่อเตรียมย้ายทีม มันเหมือนการหักหลังกัน
เส้นทางใหม่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เมสัน เมาท์ ได้ยุติเส้นทาง 18 ปีที่เชลซีลงแล้วเลือกย้ายมาแมนเชสเตอร์ในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ด้วยค่าตัว 55 ล้านปอนด์ บวกแอดออนอีก 5 ล้าน เซ็นสัญญาถึงปี 2028 รับค่าเหนื่อย 250,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์พร้อมทั้งสวมเสื้อหลายเลข 7 ที่แมนฯ ยูไนเต็ดนับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของ เมสัน เมาท์ เขายังไม่สามารถเรียกฟอร์มให้กลับมาได้และใช้เวลาส่วนมากในการรักษาตัว ทำให้ในฤดูกาลนี้เขาเพิ่งลงเล่นไป 13 นัด ทำไป 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์
แต่เส้นทางของเขากับแมนฯ ยูไนเต็ดเพิ่งเริ่มต้น แม้จะเริ่มต้นไม่สวยแต่ยังเหลือเวลาให้เขาการเรียกฟอร์มเพื่อให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป
เมสัน เมาท์ เป็นผู้ร้ายจริงไหม?
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เป็นวิถีของฟุตบอล ถ้าถามว่าเรื่องใครเป็นคนผิด ก็โทษใครไม่ได้ มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่ไม่ลงล็อคกัน ในช่วงที่ เมสัน เมาท์อยากได้สัญญาใหม่ เชลซีก็เจอปัญหาทั้งเรื่องโควิด เรื่องการโดนคว่ำบาตร การเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน
แล้วพอทุกอย่างดีขึ้น เชลซีกลับฟอร์มตก ทำให้ เมสัน เมาท์ ตัดสินใจที่จะย้ายไปทีมที่สถานการณ์ดีกว่า ทีมที่ให้ค่าเหนื่อยเขาได้ตามที่เขาต้องการ
แต่ก็ไม่แปลกที่แฟนบอลบางส่วนจะไม่พอใจและยังให้อภัย เมสัน เมาท์ ไม่ได้ด้วยความที่เป็นเด็กปั้นของสโมสรอยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน แต่กลับมาทอดทิ้งในช่วงที่ทีมตกต่ำ อย่างไรก็ตามแม้จะจบกันไม่ดี แต่ช่วงที่ เมสัน เมาท์ อยู่กับทีมเขาก็ทำงานอย่างหนัก สู้เพื่อสโมสร และมีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกับทีม สิ่งเหล่านี้จะไม่ถูกลบเลือนไปจากใจแฟนเชลซีแน่นอน