ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ได้ สำหรับพวกเราแล้วการที่จะชนะหรือแพ้ในวิถีของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า
หนึ่งในแนวคิดสุดเป็นเอกลักษณ์ของสโมสรแอธเลติก บิลเบา ทีมจากแคว้นบาสก์ ในประเทศสเปน ทีมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์และ ความไม่เหมือนใคร ด้วยธรรมเนียมของสโมสรที่เป็นเอกลักษณ์ที่ใช้เฉพาะนักเตะที่เกิดและเติบโตในแคว้นบาสก์เท่านั้น ที่สามารถเล่นให้กับสโมสรได้ เรียกได้ว่าเป็นทีมที่เป็นตัวแทนของเมืองอย่างแท้จริง
ซึ่งต้องขอเล่าก่อนว่า แคว้นบาสก์นั้นมีความแตกต่างจากแคว้นอื่น ๆ ในสเปน แคว้นบาสก์อยู่ทางตอนเหนือของประเทศสเปน โดยมีส่วนเล็ก ๆ ที่ติดกับประเทศฝรั่งเศส เป็นแคว้นปกครองตัวเองในสเปนซึ่งมีประชากรมากกว่า 2.2 ล้านคน
ซึ่งในประเทศสเปนประกอบด้วยแคว้นอิสระ 17 แคว้น ซึ่งทุกแคว้นมีสิทธิ์ในการปกครองตนเอง ภายใต้กฎหมายที่กำหนดไว้ในกฎเกณฑ์การปกครองตนเอง คล้ายกับวิธีการทำงานของระบบของรัฐในสหรัฐอเมริกา
ชาวบาสก์มีความชาตินิยมและอนุรักษ์นิยมที่สูงมาก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตและภาษาเป็นของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากสเปนอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขามีความคิดที่อยากแยกตัวเองออกมาจากสเปน เช่นเดียวกับแคว้นอื่น ๆ ในสเปน เช่น แคว้นคาตาลุนญ่า เป็นต้น
พวกเขามีทีมชาติเป็นของตัวเองแต่ไม่ได้การรับรองจากฟีฟ่า ครั้งนึงพวกเขาเคยลงเตะในนามทีมชาติบาสก์ มาแล้วในปี 1920 ก่อนที่สุดท้ายจะถูกแบนจากนายพลฟรังโก ฟรานซิสโก จอมเผด็จการของสเปน เนื่องจากมองว่าเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องเอกราช
ในด้านของฟุตบอล พวกเขาก็ถือว่าไม่ธรรมดา โดยในแคว้นบาสก์มีทีมที่อยู่ในลีกสูงสุดของสเปน อย่างลาลีก้าถึง 3 ทีม ทั้ง อลาเบส เรอัลโซเซียดาด และแอธเลติก บิลเบา และอีกทีมอยู่ในลาลีกา 2 คือ เออิบาร์
จากทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เห็นว่าสายเลือดของชาวบาสก์นั้น พวกเขามีภาคภูมิใจและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างมาก ทำให้เกิดแนวคิดและธรรมเนียมในการสร้างทีมที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครที่ ’แอธเลติก บิลเบา’
ธรรมเนียมของ แอธเลติก บิลเบา
แอธเลติก บิลเบา มีการสร้างทีมที่แตกต่างจากทีมอื่น ๆ ด้วยธรรมเนียมที่มีกฎเหล็กคือผู้เล่นที่สามารถเล่นให้กับแอธเลติก บิลเบาได้นั้น จะต้องเกิดหรือเติบโตที่แคว้นบาสก์เท่านั้น หรือไม่ก็ต้องมีเชื้อสายชาวบาสก์จากญาติพี่น้องคนใดคนนึง โดยธรรมเนียมนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1912 ซึ่งถ้านับถึงปัจจุบันก็เป็นเวลามากกว่า 100 ปีแล้ว
ดังนั้นด้วยข้อจำกัดนี้ จากจำนวนประชากรที่มีประมาณ 2.2 ล้านคนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในแคว้นบาสก์ และ มีเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะมีอายุ เพศ และระดับทักษะฟุตบอลที่เหมาะสมและสามารถเล่นให้กับสโมสรได้
ทำให้พวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างทีมที่มาจากอะคาเดมี่ของสโมสรเป็นหลัก ด้วยการปั้นนักเตะเยาวชน และ ให้โอกาสกับเยาวชนในการขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่เร็วกว่าทีมอื่น ๆ โดยเยาวชนที่จะเข้าสู่ทีมจะต้องเป็นเด็กท้องถิ่นที่เชื้อสายบาสก์และต้องอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อให้สามารถซึมซับวัฒนธรรมของสโมสรได้อย่างเต็มที่
และเพื่อที่จะไม่เป็นการจำกัดสิทธิ์หรือตัดโอกาสทีมที่จะได้นักเตะฝีเท้าดี ๆ จนมากเกินไป จึงไม่เป็นจำเป็นต้องเกิดในสเปนหรือเป็นเด็กท้องถิ่นในแคว้นบาสก์เท่านั้น แต่ถ้ามีเชื้อสายจากญาติพี่น้องที่เป็นชาวบาสก์ก็สามารถเล่นให้กับแอธเลติ บิลเบาได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เอเมริค ลาปอร์ต กองหลังที่เคยอยู่กับทีม ที่ถึงแม้จะไม่ได้เกิดและเติบโตที่แคว้นบาสก์ แต่มีทวดที่เป็นชาวบาสก์ก็สามารถเล่นได้
หรือในกรณีของพี่น้องวิลเลี่ยมส์ คู่พี่น้องผิวดำ ที่หลายคนอาจสงสัยว่าผ่านกฎข้อไหนถึงสามารถเล่นได้ ทั้งอินนากี้และนิโก้นั้น พ่อแม่ของเขาได้อพยพจากประเทศกาน่า แล้วมาให้กำเนิดทั้งคู่ที่แคว้นบาสก์ ทำให้พวกเขาทั้งคู่สามารถลงให้กับแอธเลติ บิลเบาได้
โดยสมัยก่อนทีมในแคว้นบาสก์อย่างเรอัล โซเซียดาดก็ใช้ธรรมเนียมเดียวกันกับพวกเขา แต่สุดท้ายต้องยอมยกเลิกนโยบายนี้ไป เพื่อให้สามารถดึงนักเตะจากสัญชาติอื่นๆเข้ามาเสริมทัพได้ เพื่อความทัดเทียมกับสโมสรอื่น ๆ แต่ต่างจาก บิลเบา ยังคงยึดนโยบายนี้มาจนถึงปัจจุบัน
แม้ธรรมเนียมของทีมจะมีข้อจำกัดมาก แต่ข้อจำกัดนี้ก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาจากการเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จได้ แอธเลติก บิลเบา เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปน รองจากทีมอย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า และไม่เคยตกชั้นจากลาลีก้าเลยเป็นเวลามากกว่า 100 ปี
ซึ่งแม้ในปัจจุบัน แอธเลติก บิลเบา จะไม่ได้เป็นทีมสามารถเบียดลุ้นแชมป์และต่อกรกับทีมยักษ์อย่าง เรอัล มาดริด บาร์เซโลน่า และแอตเลติโก้ มาดริดได้ เนื่องจากการเสียโอกาสในการนำเข้านักเตะต่างชาติมาเสริมทัพ แต่พวกเขาก็ภูมิใจที่สามารถชนะและแพ้ได้ด้วยวิถีของตัวเอง
ธรรมเนียมการซื้อ-ขายนักเตะ
นอกจากนโยบายการปั้นนักเตะเยาวชน ที่ต้องมีเชื้อสายบาสก์แล้ว นโยบายการซื้อนักเตะเข้าสู่ทีมก็ต้องเป็นนักเตะที่มีเชื้อสายบาสก์ ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้พวกเขาประสบปํญหาในการซื้อนักเตะเข้าสู่ทีม ส่งผลให้การซื้อนักเตะเข้าสู่ทีมมีจำนวนไม่มากโดยจะเน้นซื้อเพื่อมาทดแทนนักเตะที่ขายออกเท่านั้น
อีกหนึ่งเรื่องที่แอธเลติก บิลเบาไม่เหมือนใครคือการขายนักเตะ โดยปกติแล้วการซื้ออขายนักเตะจะเป็นการเจรจาตกลงค่าตัวของ 2 สโมสรที่จะซื้อขายกัน แต่แอธเลติก บิลเบาแตกต่างออกไป หากต้องการซื้อนักเตะจากพวกเขานั้น จำเป็นต้องจ่ายเป็นค่าฉีกสัญญาเท่านั้น ซึ่งแน่นอนถ้าต้องจ่ายเป็นค่าฉีกสัญญา มูลค่านักเตะย่อมสูงกว่าปกติเป็นธรรมดา และนี่คือ 4 นักเตะที่มีมูลค่าในการขายออกมากที่สุดของแอธเลติก บิลเบา
อันดับ 1 เกปา อาร์ริซาบาลากา ย้ายไป เชลซี ในปี 2018 ด้วยค่าฉีกสัญญา 80 ล้านยูโร
อันดับ 2 เอเมริค ลาปอร์ต ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2018 ด้วยค่าฉีกสัญญา 65 ล้านยูโร
อันดับ 3 อันเดร์ เอร์เรร่า ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2014 ด้วยค่าฉีกสัญญา 36 ล้านยูโร
อันดับ 4 ฆาบี มาร์ติเนซ ย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2012 ด้วยค่าฉีกสัญญา 40 ล้านยูโร
แชมป์ที่รอคอยในรอบ 40 ปี
แอธเลติก บิลเบานั้นเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งบอลถ้วยเลยก็ว่าได้ ด้วยการคว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ได้ถึง 23 สมัย ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 โดยเป็นรองเพียงแค่ บาร์เซโลน่า ทีมเดียวที่สามารถคว้าแชมป์ไป 31 สมัยด้วยกัน ก่อนที่พวกเขาจะสามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 24 ได้ในปี 2024 นี้ได้สำเร็จ
แต่เสันทางการเป็นแชมป์ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายพวกเขาต้องใช้เวลากว่า 40 ปีในการรอคอยแชมป์ในครั้งนี้ โดยปีล่าสุดที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ได้คือปี 1983-1984 หลังจากนั้นพวกเขาต้องพบกับความผิดหวังด้วยการเป็นรองแชมป์ถึง 6 สมัยด้วยกัน โดยไล่ตั้งแต่
ในปี 1984-1985 พ่ายต่อ แอตเลติโก้ มาดริด 2-1
ในปี 2008-2009 พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า 4-1
ในปี 2011-2012 พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า 3-0
ในปี 2014-2015 พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า 3-1
ในปี 2019-2020 พ่ายต่อ เรอัล โซเซียดาด 1-0
ในปี 2020-2021 พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า 4-0
เรียกได้ว่าเป็นพระรองมาอย่างยาวนาน พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝันในการเป็นแชมป์สักที หนึ่งภาพที่แฟนบอลบิลเบาน่าจะเห็นจนชินตา คือภาพที่อิเกร์ มูเนียอิน กัปตันทีมของพวกเขาที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานตั้งแต่อายุ 13 ปี ยืนดูคู่แข่งฉลองแชมป์ ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
การเดินทาง 40 ปีสิ้นสุดลง ในฤดูกาล 2023-2024 โดยคุมทัพของ เอร์เนสโต บัลเบร์เด อดีตกุนซือของพวกเขาที่เคยคุมทีมในช่วงปี 2013-2017 และกลับมาคุมทีมแอธเลติก บิลเบาอีกครั้งในปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งเข้ามาปรับปรุงในหลาย ๆ เรื่อง
ในฤดูกาลนี้เขาสามารถพาทีมทำผลงานได้อย่างน่าประประทับใจด้วยการรั้งอันดับ 5 ของตารางลาลีกา ด้วยเกมรุกที่ดุดัน และเกมรับที่เหนียวแน่น ด้วยการนำทีมของกัปตันอย่าง อินเก้ มูนาอิน และตัวรุกตัวความหวังอย่างพี่น้องวิลเลียมส์
ส่วนผลงานในศึกโกปาเดลเรย์ พวกเขาสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทะลุผ่านเข้ารอบมาได้เรื่อย ๆ ด้วยการฝ่าด่านทีมยักษ์ใหญ่ทั้งบาร์เซโลน่าในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และผ่านแอตเลติโก้ มาดริดในรอบรองชนะเลิศ จนสามารถผ่านเข้ามารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
ในนัดชิงชนะเลิศพวกเขาต้องพบกับ มายอร์ก้า แม้จะโดนนำไปก่อนตั้งแต่ 21 นาทีแรก แต่พวกเขาก็สามารถตามตีเสมอได้ จากโออิฮาน ซานเซ็ต เป็น 1-1 ในช่วงครึ่งหลัง นาทีที่ 50 หลังจากนั้นทำอะไรกันไม่ได้ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ สุดท้ายเป็นพวกเขาที่ไม่พลาดยิงเข้าทั้ง 4 คนเอาชนะไปได้ 4-2 ส่งผลให้พวกเขาคว้าแชมป์โกปาเดลเรย์สมัยที่ 24 ได้สำเร็จหลังรอคอยมากว่า 40 ปี
การฉลองแชมป์สุดยิ่งใหญ่ที่ไม่เหมือนใคร
การล่องเรือฉลองแชมป์ตามประเพณี ที่เป็นเอกลักษณ์มาอย่างช้านาน ถือเป็นการฉลองแชมป์ที่เสน่ห์และคลาสสิคทีมนึงในโลก เลยก็ว่าได้ โดยปกติแล้วการฉลองแชมป์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตามท้องถนน เส้นทางต่างๆรอบเมือง แต่ของพวกเขานั้นแตกต่างนักเตะและสตาฟโค้ชทุกคนจะล่องเรือไปตามแม่น้ำเนอร์วิออน หรือ แม่น้ำบิลเบา
ที่มาของการล่องเรือเกิดมาจากในยุค 70-80 ยุคนั้นบิลเบายังคงฉลองแชมป์ด้วยแห่บนรถไปตามท้องถนนอยู่เหมือนทีมอื่น ๆ จนมาในปี 1983 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อทางสโมสรแอธเลติก บิลเบาคว้าแชมป์ลาลีกาได้สำเร็จ ซึ่งทำให้แฟนบอลของพวกเขาดีใจเป็นอย่างมาก ออกมาเฉลิมฉลองกันแออัดเต็มท้องถนนจนทำให้รถไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้
ทำให้ทางสโมสรบิลเบา ตัดสินใจปรับเปลี่ยน โดยนำนักเตะและสตาฟโค้ชไปลงเรือที่ชื่อว่า ‘กาบาร์รา’ ซึ่งเป็นเรือประมงที่เป็นอุตสาหกรรมหลักของคนในเมืองบิลเบา ซึ่งทำให้ภาพการฉลองแชมป์นั้นออกมาอย่างสวยงาม ประชาชนได้เฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ไม่มีการแออัด ซึ่งหลังจากนั้นในฤดูกาลต่อมาพวกเขาสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีก เลยทำให้พวกเขามองว่าเรือ กาบาร์รา นั้นนำโชคมาให้พวกเขา หลังจากนั้นเป็นต้นมา การล่องเรือฉลองแชมป์เลยกลายเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา