เกิดอะไรขึ้นกับทีมลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คล็อปป์ จากฤดูกาลที่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งถูกปูมาให้จบแบบหนังพล็อตดี ๆ สักเรื่องนึง ทีมที่เล่นด้วยใจใส่สุดให้กับฤดูกาลสุดท้ายของสุดยอดกุนซืออย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ฤดูกาลที่ดูเหมือนจะเป็นฤดูกาลแห่งความทรงจำ ภาพฝันที่เหล่าเดอะค็อปวาดฝันเอาไว้ แต่ด้วยผลงาน 5-6 นัดหลังของพวกเขาทุกสิ่งกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จากทีมฟอร์มแรงที่มีโอกาสลุ้นถึง 4 แชมป์ แต่ในตอนนี้อาจจะต้องยอมรับความจริงว่าพวกเขามีโอกาสที่จะจบฤดูกาลนี้ด้วยแชมป์รายการเดียวคือ คาราบาวคัพ อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฤดูกาลนี้ไม่เป็นไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง เราจะพาไปไล่เรียงหาคำตอบกัน
เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างน่าประทับใจ
ย้อนกลับไปในช่วงฤดูกาล 2022-2023 นับเป็นฤดูกาลที่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับลิเวอร์พูล พวกเขาจบพรีเมียร์ลีกด้วยอันดับที่ 5 ของตาราง และ ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการไหนได้ ทำให้พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาล 2023-2024 ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นครั้งใหญ่ จากฤดูกาลก่อน
ลิเวอร์พูลปล่อยนักเตะตัวสำคัญไปหลายคนทั้ง เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต ฟิร์มิโน และฟาบินโญ่ โดยไปซื้อตัวผู้เล่นใหม่มาทดแทนอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิค โซบอสซ์ไล, วาตารุ เอ็นโด และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช เรียกว่ายกเครื่องกองกลางยกแผง
ในฤดูกาลนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงเล่นในแผนการเล่นเดิมคือระบบ 4-3-3 เป็นหลัก โดยจะมีการปรับเปลี่ยนระหว่างเกมโดยจะให้ แบ็คขวา หุบจากแบ็คมายืนเป็นกองกลาง หรือเรียกอีกอย่างว่า อินเวิร์สฟลูแบ็ค เพื่อช่วยในการเชื่อมเกมและสร้างสรรค์เกมรุก โดย 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คล็อปป์นิยมใช้ในฤดูกาลนี้คือ
ผู้รักษาประตูเป็น อลิสซอน เบ็คเกอร์
กองหลัง : แบ็คซ้ายเป็น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คู่เซ็นเตอร์เป็น เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กับ อิบราฮิมา โกนาเต้ แบ็คขวาเป็น เทรนต์อเล็กซานเดอร์- อาร์โนลด์
กองกลาง : กลางรับใช้เป็น วาตารุ เอ็นโด กองกลางตัวเชื่อมเกมเป็น อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ แล้วกลางตัวรุกเป็น โดมินิค โซบอสซ์ไล
กองหน้า : ฝั่งซ้ายเป็น หลุยส์ ดิอาซ ฝั่งขวา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หน้าเป้าเป็น ดาร์วิน นูเญซ
โดยมีตัวสำรอง ที่มีคุณภาพทั้ง เควิน เคลเลเฮอร์, โจ โกเมซ, ไรอัน กราเวนเบิร์ช, เคอร์ติส โจนส์, โคดี้ กัคโป, ดิอาโก้ โจต้า, ฮาวี่ เอลเลียตต์ และเหล่าบรรดาดาวรุ่งที่ขึ้นมาทั้ง จาเรลล์ ควอนซาห์ , คอเนอร์ แบรดลีย์ ที่คอยเล่นสลับหมุนเวียนกับตัวจริง ซึ่งในฤดูกาลพวกเขามีเกมการแข่งขันถึง 4 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, คาราบาว คัพ และ ยูโรปาลีก
ด้วยการที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ บวกกับ ฟอร์มฤดูกาลก่อน หลายคนคิดว่าลิเวอร์พูลน่าจะเจอกับปัญหาไม่มากก็น้อย ไม่มีใครคิดว่าลิเวอร์พูลจะขึ้นมาลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ เต็มที่น่าจะเป็นทีมที่ลุ้นท็อป 4 แต่ทว่า
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้อย่างร้อนแรงแม้จะเสมอกับเชลซีในนัดแรกด้วยฟอร์มที่ดูเป็นรอง แต่หลังจากนั้นพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้ 5 นัดรวดในลีก โดยจุดแข็งของลิเวอร์พูลในช่วงต้นฤดูกาลนี้คือเกมในบ้านที่แอนฟิลด์ และ ความเป็นทีมตายยาก
โดยพวกเขามักจะมีเกมที่พวกเขาเหลือ 10 คน หรือ ตามหลังคู่แข่ง แต่สามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้ในหลาย ๆ เกม อีกทั้งผู้เล่นใหม่ที่ซื้อมาเข้ามาก็สามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว
ลิเวอร์พูลสามารถรักษาฟอร์มเล่นกันได้อย่างสม่ำเสมอ แม้สถิติในการเจอทีมใหญ่จะค่อยไม่ดี พวกเขาเสมอทั้ง เชลซี แมนฯยูไนเต็ด อาร์เซนอล แมนฯซิตี้ และแพ้สเปอร์ส แต่กับทีมเล็ก ๆ ที่ชื่อชั้นเป็นรอง พวกเขาสามารถเก็บแต้มได้เกือบทั้งหมด ทำให้หลังผ่านครึ่งฤดูกาล ลิเวอร์พูลนำเป็นจ่าฝูงโดยมี 45 แต้ม นำคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 แต้ม และ อาร์เซนอล 5 แต้ม
ตัดภาพมาที่ยูโรปาลีก พวกเขาก็ผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยคุณภาพ ดีกรีและชื่อชั้นนักเตะ ที่เหนือกว่าทีมที่เจอ ทำให้พวกเขาเข้ารอบเป็นที่ 1 ของกลุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยผลงานชนะ 5 จาก 6 นัด
ส่วนผลงานในบอลถ้วยอย่างคาราบาวคัพพวกเขาฝ่าฟัน ทะลุผ่านเข้ารอบได้มาได้เรื่อย ๆ ด้วยการชนะเลสเตอร์ บอร์นมัธ เวสต์แฮม และ ฟูแล่ม ทำให้พวกเขาผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ไปเจอกับ เชลซี ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
และผลงานอีกหนึ่งรายการคือเอฟเอคัพของพวกเขาเจองานยากตั้งแต่เกมแรกที่ต้องเจอกับอาร์เซนอลแต่พวกเขาก็สามารถผ่านไปได้ โดยเอาชนะไป 2-0 ทำให้ผ่านครึ่งฤดูกาลแรก ในลีกเป็นจ่าฝูง และบอลถ้วยรายการอื่น ๆ ยังอยู่ในเส้นทางในการลุ้นแชมป์ครบทุกรายการ ทุกอย่างกำลังไปได้อย่างสวยงาม จนกระทั่ง
การอำลาของ เจอร์เก้น คล็อปป์
ในช่วงปลายเดือนมกราคม ได้มีข่าวที่ทำให้เหล่าบรรดาเดอะค็อป ช็อคกันทั่วโลก เมื่อเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของพวกเขา ประกาศที่จะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ หลังจากคุมทีมลิเวอร์พูลมาเกือบ 9 ปี ด้วยเหตุผล ที่ตัวเขาหมดพลังในการคุมทีม ทั้งที่ตัวคล็อปป์ ยังเหลือสัญญาอยู่กับทีมถึง 2026 ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูกระทันหันไปหมด
แต่การประกาศอำลาในครั้งนี้ เป็นเหมือนดาบสองคม แม้จะใจหายและยากที่จะทำใจ แต่มันก็กลายเป็นเชื้อไฟและแรงกระตุ้นชั้นดีให้กับนักเตะ ในการสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำ และ สร้างประวัติศาสตร์ไปด้วยกัน
“หลังจากที่คล็อปป์ไม่อยู่มันคงจะเป็นวันที่ยากลำบากแน่นอน จนกว่าจะถึงวันนั้นเราจะสู้อย่างเต็มที่ และมองในแง่บวก รวมทั้งมีสมาธิอยู่กับตัวเอง และพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างฤดูกาลแห่งความสำเร็จให้ได้” ฟานไดจ์ กัปตันทีมของลิเวอร์พูลให้สัมภาษณ์ถึงกุนซือของเขา
ซึ่งหลังจากที่คล็อปป์ประกาศ ฟอร์มลิเวอร์พูลก็เหมือนกับมีบัฟเพิ่ม พวกเขาเล่นสุดชีวิต วิ่งสุดกำลังตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย เพื่อฤดูกาลสุดท้ายของคล็อปป์ พวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการชนะ 10 จาก 12 เกม รวมทุกรายการ โดยแพ้แค่นัดเดียวคือเกมกับอาร์เซนอล ทีมที่เป็นคู่แข่งแย่งแชมป์ ซึ่งเป็นอะไรที่เข้าใจได้
ในไทม์ไลน์เดียวกัน 1 เกมที่พวกเขาชนะใน 12 คือเกมนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ แม้ลิเวอร์พูลในช่วงนั้นประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บทั้ง อลิซอน ซาล่า และ เทรนต์ ทำให้ต้องส่งตัวสำรองและดาวรุ่งลงเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง คอเนอร์ แบรดลี่ย์, ฮาวี่ย์ เอลเลียจจ์ และ เควิน เคลเลเฮอร์
แต่พวกเขาทำก็ยังทำผลงานได้อย่างสุดยอด ด้วยการเอาชนะเชลซีได้ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากลูกโหม่งของ ฟานไดจ์ ทำให้ความสำเร็จพวกเขาเริ่มนับ 1 และยังเหลืออีก 3 ถ้วยที่ยังอยู่ในเส้นทาง ทุกอย่างกำลังไปได้ดี จนพวกเขามาเจอจุดเปลี่ยนในเกมที่เจอกับ แมนฯยูไนเต็ด
2 แดงเดือด เกมแห่งจุดเปลี่ยน
ในศึกเอฟเอ คัพ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาถูกจับสลากมากับคู่ปรับตลอดกาล อย่างแมนฯยูไนเต็ด ก่อนเกมลิเวอร์พูลดูเป็นฝั่งที่ดูเหนือกว่า ทั้งฟอร์มการเล่น แรงกระหาย และสถิติในการพบกันในช่วงหลัง แม้แมนยูจะเล่นในบ้านแต่หลายก็คิดว่าลิเวอร์พูลน่าจะผ่านไปได้
แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในเกมเป็นทางฝั่งแมนฯยูไนเต็ด ที่ฉกฉวยโอกาสขึ้นนำไปก่อน แต่ลิเวอร์พูลก็มารัวแซง 2 ลูกเป็น 2-1 ก่อนจบครึ่งแรก เกมในครึ่งหลังเริ่มมา ก็เป็นลิเวอร์พูลที่ครองเกมได้เหนือกว่าแต่ทำประตูทิ้งห่างไม่ได้ สุดท้ายแมนยูมาได้ลูกตีเสมอในช่วงท้ายเกม
ทำให้ต้องว่ากันใหม่ช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูขึ้นอีกครั้ง 3-2 แต่แมนยูไม่ยอมตีเสมอได้เป็น 3-3 เกมทำท่าว่าจะจบแล้วต้องไปดวลจุดโทษ แต่แมนยูก็ทำแฟนลิเวอร์พูลช็อคด้วยการยิงแซงในช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลา จากประตูของ อาหมัด ดิยาโล่ เป็น 4-3 อย่างน่าปวดใจ ส่งผลให้ลิเวอร์พูลตกรอบรายการแรก ความฝันในการลุ้น 4 แชมป์จบลง ตอนนี้เหลือแค่ 3
ตัดสลับกลับที่พรีเมียร์ลีก หลังจากแพ้แมนฯ ยูไนเต็ดในเอฟเอคัพ แต่พวกเขาก็ยังรักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้ กลับมาชนะในลีกได้ 2 เกม และในนัดต่อมาต้องเจอกับเแมนฯยูไนเต็ด อีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 ในช่วงไม่กี่สัปดาห์
การเจอแมนฯยูไนเต็ดไม่ใช่งานง่ายสำหรับพวกเขาอีกต่อไป ลิเวอร์พูลทำได้แค่เสมอแมนฯยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 2-2 ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในการทำคะแนนและเสียจ่าฝูงให้กับอาร์เซนอล โดยมี 71 แต้มเท่ากัน แต่ลูกได้เสียอาร์เซนอลดีกว่า โดยมีทีมอันดับ 3 อย่างแมนฯซิตี้ตามมาติด ๆ ที่ 70 แต้ม
เกมที่แย่ที่สุดในฤดูกาล
ตัดกลับมาที่ยูโรปา พวกเขาผ่านรอบ 16 ทีมได้อย่างไม่ยากลำบาก ผ่านมาในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จพวกเขาถูกจับสลากมาเจอกับ อตาลันต้า ทีมอันดับ 6 จากอิตาลี
ซึ่งหลายคนมองว่าไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับลิเวอร์พูล อีกทั้งผลการจับสลากยังดูเป็นใจ เพราะพวกเขาอยู่คนละสายกับทีมเก่ง ๆ ทั้งเอซี มิลาน และเลเวอร์คูเซ่น จนถูกยกเป็นเต็ง 1 ในเวลานั้น แต่ทว่า
ในเกมแรก พวกเขากลับแพ้อตาลันต้าคาบ้านถึง 3-0 เป็นเกมที่พลิกล็อคและแย่ที่สุดในฤดูกาลนี้ มันเหมือนฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ เกมในบ้านที่เป็นจุดเด่นในฤดูกาลนี้ แต่ในเกมนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป พวกเขาไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ ดูได้จากสถิติการครองบอลที่สูงถึง 71% และโอกาสในการยิงถึง 19 ครั้ง
แต่กลับใช้โอกาสที่มีเปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้ ซึ่งผิดกันกับฝั่งอตาลันต้า ที่มีความเด็ดขาดเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้ถึง 3 ลูก ในประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลมีแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่แพ้ด้วยสกอร์ห่างถึง 3 ลูก ประกอบด้วยเรอัล มาดริด 2 ครั้ง และอตาลันต้าในนัดนี้
อย่างไรก็ดี แม้ในเลกที่ 2 ที่ไปเยือน จะสามารถบุกไปชนะอตาลันต้าที่บ้านของเขาได้ 0-1 แต่ก็ไม่ได้มีความหมายใด ๆ พวกเขาจอดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ในรายการยูโรปาลีก ความฝันในการลุ้น 4 แชมป์ในตอนนี้เหลือแค่ 2
โอกาสแชมป์ที่ดูเลือนลาง
ในไทม์ไลน์เดียวกัน ในพรีเมียร์ลีกหลังเกมที่แพ้อตาลันต้าในบ้าน พวกเขาต้องมาเจอกับ คริสตัล พาเลซ เกมที่หวังดึงโมเมนตัมกลับมาก่อนจะไปเยือนอตาลันต้าในเลกที่ 2 แต่พวกเขากลับแพ้คาบ้านอีกครั้งด้วยสกอร์ 0-1 ด้วยปัญหาเดิมคือความไม่เฉียบขาด และใช้โอกาสเปลือง
หลังจากตกรอบยูโรปา พวกเขาเหมือนเจอกับมรสุม ฟอร์มของพวกเขาไม่ดีขึ้น ด้วยการชนะในลีกได้เพียง 1 เกมจาก 3 เกมหลังสุดในลีก ด้วยการชนะฟูแล่ม แพ้เอฟเวอร์ตัน และ เสมอกับเวสแฮมต์
ทำให้โอกาสในการลุ้นแชมป์ของพวกเขานั้นริบหรี่ลงเรื่อย ๆ ฟอร์มสวนทางกับคู่แข่งแย่งแชมป์ทั้งอาร์เซนอล และ แมนฯซิตี้ จากที่เป็นจ่าฝูง แต่ในตอนนี้พวกเขาร่วงมาอันดับ 3 และมีแต้มตามทีมจ่าฝูงอย่างอาร์เซนอลอยู่ถึง 5 แต้ม
ปัญหาที่ลิเวอร์พูลเจอในช่วงหลัง
สิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลฟอร์มดร็อปและหลุดวงโคจรในการลุ้นแชมป์ในช่วงสุดท้าย จุดเริ่มน่าจะเริ่มจากเกมเอฟเอคัพ ที่แพ้แมนฯยูไนเต็ด แต่จุดที่มองว่าน่าส่งผลกระทบจริง ๆ น่าจะเป็นเกมที่แพ้อตาลันต้าคาบ้าน 3-0
โดยถ้ามองถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในช่วงหลังที่พวกเขาเจอ นั้นคือ การจบสกอร์ที่ไม่เฉียบขาดของเหล่าบรรดาตัวรุกทั้ง ทั้ง นูนเยส ดิอาซ ซาล่า กัคโป้ เอลเลียตต์ และโจต้า
โดยเฉพาะ นูนเญซ ที่ทิ้งโอกาสทองมากที่ติดอันดับท็อปในพรีเมียร์ลีก คนที่น่าจะสามารถพึ่งพาเรื่องการจบสกอร์ได้มากที่สุดในช่วงนี้น่าจะเป็น โจต้า แต่เขามักมีอาการบาดเจ็บอยู่เป็นประจำ ทำให้ช่วยทีมได้ไม่เต็มที่
สิ่งที่สอง คือ ฟอร์มที่ดร็อปพร้อมกันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกองหน้า กองกลาง กองหลัง หรือแม้แต่ ซาล่า คนที่เป็นตัวแบกในหลาย ๆ ฤดูกาล หลังจากที่มีอาการบาดเจ็บกลับมาจากอียิปต์ ฟอร์มก็ไม่เหมือนเดิม
สิ่งที่สาม คือ เกมรับในช่วงหลังที่ไม่เหนียวแน่นเหมือนช่วงที่ฟอร์มดี โดยมักจะมีการผิดพลาดจากลูกสวนกลับ และ ลูกกลางอากาศ ดูได้จาก 2 เกมล่าสุด ที่แพ้เอฟเวอร์ตันและเสมอเวสต์แฮม เหตุสำคัญคือสมาธิในเกม
สิ่งที่สี่ คือ การเปลี่ยนตัวและการแก้เกมที่ขัดใจแฟนบอล ยกตัวอย่างในเกมกับเอฟเวอร์ตันทีมตามหลังอยู่แต่เลือกถอด เทรนต์ และ โรเบิร์ตสัน ออก แล้วส่ง โจ โกเมส กับ ซิมิกาสลงสนาม แทนที่จะเพิ่มตัวรุกเข้าไป
สิ่งที่ห้า คือ ความอ่อนล้า ในช่วงหลังนักเตะลิเวอร์พูลเล่นเหมือนไม่มีแรงในการวิ่งในการสู้เหมือนช่วงที่ฟอร์มดี ๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความอ่อนล้าของนักเตะที่ต้องกร่ำศึกหนักในการลุ้นแชมป์ในหลายรายการ
สิ่งที่หก คือ ความกดดันที่มากเกินไป ในเกมที่พวกเขาแพ้ไม่ใช่ว่าพวกเขาสู้ไม่ได้หรือไม่มีโอกาสในการเข้าทำ แต่เกิดจากความกดดัน ที่ในบางจังหวะเน้นเกินไป จนกลายเป็นเกร็งและเล่นไม่เป็นธรรมชาติเหมือนช่วงที่ฟอร์มดี
และสิ่งสุดท้ายที่เห็นในนัดล่าสุดคือ สปีริตทีม ภาพที่ซาล่า ยืนทะเลาะกับคล็อปป์ ในช่วงเปลี่ยนตัว มันแสดงถึงความไม่เคารพในตัวกุนซือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดกับฤดูกาลสุดท้ายของ คล็อปป์
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดในฤดูกาลสุดท้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จากฤดูกาลที่น่าจะเป็นปีแห่งความทรงจำ แต่ดันมาพลาดกันเองในช่วงท้ายฤดูกาล นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ช่วงเวลาเก็บความทรงจำ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในฤดูกาลสุดท้ายของ คล็อปป์ จะไม่เป็นดั่งหวัง หากแต่ตลอดเส้นทางที่คล็อปป์คุมทีมมาตลอดกว่า 9 ปีนั้น มันเต็มไปด้วยโมเมนต์ที่น่าประทับใจและโมเมนต์แห่งความทรงจำทั้งนั้น ไม่ว่าปีที่พาทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีก หรือ แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีก
ทุกอย่างที่กล่าวมาจะไม่มีทางลบเลือนไปจากใจเหล่าเดอะค็อปอย่างแน่นอน ณ ตอนนี้เหลือเวลาที่ได้ใช้ด้วยกันอีกเพียง 3 เกม มาร่วมเก็บโมเมนต์ช่วงเวลาที่น่าจดจำไปด้วยกัน อีกอย่างอย่าลืมว่าลิเวอร์พูลปีนี้ไม่ได้จบฤดูกาลนี้ด้วยมือเปล่า การคว้าแชมป์คาราบาว คัพ กับทีมที่ตอนต้นฤดูกาลไม่มีใครคาดหวัง แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว