ระยะเวลาเกือบหนึ่งทศววรษ Jürgen Klopp (เจอร์เกน คล็อปป์) เจ้าของฉายา เดอะ นอร์มอล วัน ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว เรียกว่าเป็นกุนซือที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลคนนึง ก็คงไม่เกินจริงมากนัก ชายผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลและนำพาความสำเร็จเข้ามาสู่สโมสรอย่างไม่ขาดสาย ชายผู้เป็นที่รักของเหล่าบรรดาเดอะค็อป ร่วมสุขร่วมทุกข์กับทีมมาตลอดไม่เคยคิดทิ้งทีมไปไหน

ชายคนนี้จะเป็นตำนานที่ไปยืนอยู่ในใจแฟนบอลลิเวอร์พูลตราบนานเท่านาน ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่อยู่กับทีม มันเต็มไปด้วยโมเมนต์ที่น่าประทับใจและน่าจดจำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมา 30 ปี หรือแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 และแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีกมากมาย

ทั้งหมดที่กล่าวมาเราจะพาไปไล่เรียงย้อนรอย 9 ปีแห่งความทรงจำ การเดินทางกับลิเวอร์พูลของชายผู้เป็นตำนานคนนี้กัน

ช่วงกำลังสร้าง

เจอร์เกน คล็อปป์เข้ามาคุมในฤดูกาล 2015-2016 ต่อจากกุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในช่วง 3 ปีแรกไม่ใช่ช่วงที่ง่ายสำหรับ คล็อปป์ เขาเข้ามาปรับเปลี่ยนหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ทัศนคติ ความเชื่อ จิตวิญญาณการเป็นผู้ชนะ รูปแบบวิธีการเล่น วางโครงสร้างรากฐาน และวางเป้าหมายให้ทุกคนภายในทีมมีเป้าหมายเดียวกัน 

คล็อปป์ใช้เวลาพอสมควรในการเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูลเริ่มมีรูปแบบแนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการเล่นแบบเกเก้นเพรสซิ่ง ฟอร์มของทีมเริ่มพัฒนาขึ้นตามลำดับ แม้จะมีแนวโน้มดีและสามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ แต่ในช่วง 3 ปีแรก พวกเขาก็มักจะจบด้วยการเป็นแค่ พระรอง อยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นในปีแรกที่จบด้วยการเป็นรองแชมป์ 2 ถ้วย นั่นคือ รองแชมป์ยูโรปาลีก กับรองแชมป์ลีกคัพ ก่อนจะจบด้วยการเป็นรองแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 2017-2018 ในถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่พ่ายต่อเรอัล มาดริดไป 

แชมป์ใบแรกกับลิเวอร์พูล

หลังจากผ่าน 3 ปีแรกที่เป็นได้แค่พระรอง ในฤดูกาล 2018-2019 นับเป็นปีที่ลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดีปีนึง ด้วยขุนกำลังที่เริ่มลงตัวในทุกตำแหน่ง ในลีกพวกเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้สุดท้ายจะเป็นได้แค่พระรองอีกครั้ง 

ซึ่งมีแต้มห่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแชมป์ในปีนั้นแค่คะแนนเดียว โดยทำไป 97 คะแนน แต่แมนฯ ซิตี้ทำไป 98 คะแนน นับเป็นรองแชมป์ที่ทำแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก เรียกได้ว่าถ้าเป็นฤดูกาลอื่นคงได้แชมป์ไปแล้ว 

แต่ในถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกพวกเขาทำผลงานได้อย่างสุดยอดไม่แพ้กัน ในรอบตัดเชือกพวกเขาฝ่าฟันทั้งบาเยิร์น มิวนิค ปอร์โต้ และบาร์เซโลน่า ทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศมาพบกับสเปอร์ส และสามารถเอาชนะไปได้ 2-0 คว้าแชมป์แชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 ได้สำเร็จ 

แต่รอบที่เป็นไฮไลต์นั้นคงหนีไม่พ้น รอบรองชนะเลิศที่สามารถพลิกเอาชนะบาเซโลน่าได้อย่างปาฏิหาริย์ เกมที่ไม่มีใครเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาได้ หลังจากเกมแรกที่บุกไปเยือนที่คัมป์นูโดนนำไป 3-0 แต่กลับมาเล่นที่แอนฟิลด์สามารถพลิกเอาชนะได้ 4-0 (สกอร์รวม 4-3) ผ่านเข้ารอบไปได้

แชมป์ 30 ปีที่รอคอย

ในฤดูกาล 2019-2020 เป็นฤดูกาลที่กลับมาเพื่อแค้น หลังจากจบด้วยการเป็นรองแชมป์อย่างน่าปวดใจให้กับแมนฯ ซิตี้ พวกเขาทำผลงานได้อย่างสุดยอดชนิดที่ว่าไม่มีใครมาหยุดพวกเขาได้ ใน 20 นัดของฤดูกาล คล็อปป์พาลูกทีม ชนะไป 19 เสมอ 1 ทำแต้มทิ้งห่างทีมอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น เรียกว่านำม้วนเดียวจบ 

โดยฤดูกาลนี้ทำไปถึง 99 คะแนน มากที่สุดเป็นสถิติของสโมสร คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกได้สำเร็จ หลังรอคอยมากว่า 30 ปี แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือเป็นปีที่โควิดระบาด ทำให้แฟนบอลเข้าสู่สนามไม่ได้ พลาดโอกาสที่จะได้สัมผัสบรรยากาศที่พวกเขารอคอย

เท่านั้นยังไม่พอ ในปีนั้นพวกเขายังสามารถคว้าได้ทั้งแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และสโมสรโลกได้อีก นับว่าเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของเจอร์เกน คล็อปป์ กับลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้

ปีที่ยากลำบาก

ในฤดูกาล 2020-2021 นับเป็นฤดูกาลที่ยากลำบากสำหรับลิเวอร์พูลเป็นอย่างมาก มีช่วงที่พวกเขาหล่นไปอยู่โซนกลางตาราง ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นคนสำคัญหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเหล่าบรรดากองหลังไม่ว่าจะเป็นเวอร์จิล ฟานไดค์, โจเอล มาติป เป็นต้น

 จนในบางช่วงต้องถอยฟาบินโญ่ กับจอร์แดน เฮนเอร์สัน ลงมาเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็กจำเป็น แต่ในท้ายที่สุดคล็อปป์ก็สามารถประคองทีมให้ติดท็อป 4 ได้ในช่วงท้ายฤดูกาล พาทีมคว้าโควตาไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ 

นัดที่เป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่น่าจดจำของฤดูกาลนี้คงหนีไม่พ้น นัดที่เจอกับทางเวสต์บรอม ในช่วงท้ายฤดูกาล โดยเกมทำท่าว่าจะเสมอ 1-1 แต่ในช่วงทดเวลามาได้อลิสซอน เบ็คเกอร์ โหม่งประตูชัยให้ลิเวอร์พูลชนะไปได้ 2-1 ทำทีมมีลุ้นโควตาฟุตบอลยุโรปต่อ

ลุ้น 4 แชมป์

ฤดูกาล 2021-2022 ในฤดูกาลนี้พวกเขาสามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาอีกครั้ง บวกกับการได้นักเตะคนสำคัญกลับมาจากอาการบาดเจ็บ ทำให้ลิเวอร์พูลสามารถทำผลงานได้เป็นอย่างดีในทุกรายการที่ลงแข่งขัน พวกเขาลงสนามไปกว่า 60 นัดในทุกรายการ 

นับเป็นปีที่ดีปีหนึ่ง ถึงแม้ในตอนสุดท้ายจะไม่สมหวังทั้งหมดด้วยการคว้าได้ 2 ถ้วย จาก 4 รายการที่ลงแข่งขัน นั่นคือ แชมป์เอฟเอคัพ กับคาราบาวคัพ ที่สามารถเอาชนะเชลซีได้ทั้ง 2 ถ้วย ส่วนอีก 2 ถ้วยนั้นก็เป็นรองแชมป์แบบน่าเสียดาย พรีเมียร์ลีกแม้พวกเขาจะแต้มได้ถึง 92 คะแนน แต่ก็เป็นรองแมนฯ ซิตี้ ทีมแชมป์ในปีนั้นที่ทำไป 93 คะแนน

ส่วนในรายการแชมเปียนส์ลีกก็ไม่ต่างกัน แม้ในรอบตัดเชือกจะทำผลงานได้ดี แต่ในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาต้องมาเจอเรอัล มาดริด ทีมที่พวกเขาเคยพ่ายในรอบชิงปี 2018 โดยลิเวอร์พูลก็หวังที่จะแก้แค้น แต่ในท้ายที่สุดก็ทำไม่สำเร็จแพ้ไป 1-0 

มาตรฐานดร็อป

ฤดูกาล 2022-2023 นับเป็นฤดูกาลที่ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล พวกเขาฟอร์มดร็อปลงอย่างน่าใจหาย ถึงแม้ตัวเล่นจะเป็นตัวเล่นที่ไม่ค่อยแตกต่างจากปีก่อน แต่ด้วยฤดูกาลก่อนที่กรำศึกหนักส่งผลต่อสภาพร่างกาย ความฟิต พอสมควร บวกกับตัวผู้เล่นตัวหลักเริ่มอายุเยอะ 

ทำให้ฟอร์มโดยรวมดร็อปลง พวกเขาจบฤดูกาลนี้ด้วยอันดับ 5 ถึงแม้จะเป็นฤดูกาลที่ไม่น่าประทับใจ แต่ก็มีนัดที่แฟนบอลลิเวอร์พูลไม่มีวันลืม นั่นคือการเปิดบ้านเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับตลอดกาล ไปอย่างถล่มทลาย 7-0

เป็นสิ่งที่ถ้าถามก่อนเกมไม่มีใครคิดว่าจะจบด้วยสกอร์นี้ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ปูมา เมื่อเทียบกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปีนั้นทำผลงานได้ดีกว่าชัดเจน เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าเกมแดงเดือดนั้นอยู่เหนือสมการทุกสิ่ง แม้ฟอร์มจะไม่ดียังไง แต่เมื่อเจอกันไม่มีใครยอมกันแน่นอน

ปีแห่งการอำลา

ฤดูกาล 2023 -2024 เป็นฤดูกาลแห่งการผลัดใบ ตัวผู้เล่นเก่าที่อายุเยอะเริ่มออกจากทีม และเริ่มสร้างลิเวอร์พูล 2.0 ในฤดูกาลนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าลิเวอร์พูลจะโชว์ฟอร์มได้ดี แต่พวกเขากลับทำได้เกินคาด จนแฟนบอลหลายคนมีความหวัง ทุกอย่างกำลังได้ดี

จนกระทั่งการประกาศอำลาของคล็อปป์ ด้วยเหตุผลที่ตัวเขาหมดพลังงาน ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว จนทำให้หลายคนใจหาย แต่มันเหมือนดาบสองคม ที่กลายเป็นพลังให้นักเตะมีแรงใจในการสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำไปด้วยกัน

แม้ในตอนสุดท้ายจะไม่จบลงแบบหนังดี ๆ สักเรื่อง ด้วยการคว้าแชมป์ไปได้ถ้วยเดียว จาก 4 รายการที่ลงแข่งขัน นั่นคือแชมป์คาราบาวคัพ หากแต่ตลอดเส้นทางที่คล็อปป์ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับสโมสรตลอด 9 ปีนั้น สิ่งเหล่านี้จะไม่ถูกลบเลือนไปจากใจเหล่าบรรดาเดอะค็อปแน่นอน 

โมเมนต์ที่น่าประทับใจในฤดูกาลนี้แน่นอนว่าต้องเป็นนัดอำลาของคล็อปป์ ที่คุมทีมพบกับวูล์ฟแฮมตัน แล้วเอาชนะไปได้ 2-0 ปิดฉากการคุมลิเวอร์พูลแบบสมบูรณ์แบบ ซึ่งแม้ว่ามวลรวมสถานการณ์ในนัดนี้จะเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ที่หลังจากนี้จะไม่ได้เห็นชายคนนี้คุมทีมข้างสนามให้กับลิเวอร์พูลด้วยแพสชันที่เต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้มที่แฟนบอลคุ้นเคยอีกแล้ว

ทั้งหมดที่กล่าวกำลังจะกลายเป็นความทรงจำที่สุดแสนจะมีค่า ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีทางที่แฟนลิเวอร์พูลจะลืมได้ลง ขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้กับสโมสร หลังจากนี้ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าของคล็อปป์จะเป็นอย่างไร จะสุขหรือจะทุกข์ แต่โปรดจำไว้ว่าคุณจะไม่วันเดินอย่างเดียวดายแน่นอน

You’ll Never Walk Alone