การคัมแบ็กกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในรอบกว่า 2 ปี ของเอ็นโกโล่ ก็องเต้ (N’Golo Kanté) ด้วยวัย 33 ปี หลังย้ายออกไปค้าแข้งที่ซาอุดิ โปรลีก ทำให้หลายคนเกิดการตั้งคำถามว่า เขาจะยังไหวอยู่หรือไม่ กับฟุตบอลระดับสูงอย่างฟุตบอลยูโร 

ถึงแม้ครั้งหนึ่งเขาจะถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดในโลก ร่วมคว้าแชมป์มากมายกับทั้งสโมสร ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แชมป์ยูโรป้า แชมป์สโมสรโลก และแชมป์บอลถ้วยในประเทศกับเชลซี ส่วนในนามทีมชาติผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกกับฝรั่งเศสในปี 2018 

แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในฤดูกาล 2022-23 ก็องเต้ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องสภาพร่างและอาการบาดเจ็บ เขาลงสนามให้กับเชลซีในฤดูสุดท้ายไปเพียง 9 นัดเท่านั้น เวลาในการลงสนามไม่ถึง 700 นาที พลาดเกมการแข่งขันรวมทุกรายการไปถึง 38 นัด 

ส่วนในทีมชาติเขาไม่ถูกเรียกติดทีมชาติตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2022 โดยเกมล่าสุดคือเกมในศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกที่พบกับเดนมาร์กในเดือนมิถุนายน 2022 ก็องเต้ พลาดไปลุยฟุตบอลโลก 2022 กับทีมที่กาตาร์ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให้หลายคนมองว่าอนาคตเขากับทีมชาติน่าจะปิดฉากลงแล้ว

ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมาก็องเต้จะหมดสัญญากับเชลซี และออกไปหาประสบการณ์ใหม่ที่ซาอุดิ โปรลีก กับทีมอัลอิติ ฮัด ที่นี่เขาเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ผิดกับคนที่เล่นให้กับเชลซีในฤดูกาลสุดท้าย เขาแทบไม่มีอาการเจ็บเลย ลงสนามให้กับทีมไปถึง 44 เกม เวลาลงสนามกว่า 3900 นาที รวมทุกรายการ มีผลงาน 4 ประตู 6 แอสซิสต์ พาทีมจบอันดับที่ 5 

และด้วยผลงานที่น่าประทับใจ ส่งผลเขาถูกเรียกกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในรอบสองปี ไปลุยศึกยูโรร่วมกับทีม การประกาศรายชื่อเรียกติดทีมชาติฝรั่งเศสในครั้งนี้ เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์และความประหลาดใจให้แฟนบอลหลายคนไม่ใช่น้อย 

แม้จะทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัด แต่ด้วยมาตรฐานลีกเมื่อเทียบกับลีกชั้นนำในยุโรป ทำให้แฟนบอลเกิดคำถามมากมายในตัวเขา หลายคนอาจจะคิดว่าเขาน่าจะเข้ามาแค่ประคองรุ่นน้อง ลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงที่ต้องการรักษาสกอร์ตอนทีมนำ เนื่องจากสภาพร่างกายและวัยที่มากขึ้น 

แต่ทว่าในเกมแรกเขาถูกดิดิเยร์ เดชองส์ กุนซือทีมชาติฝรั่งเศส เลือกลงเป็น 11 ตัวจริง ตำแหน่งกองกลางตัวรับ ในเกมที่พบกับออสเตรีย ในศึกฟุตบอลยูโร 2024 แทนที่จะเลือกใช้นักเตะที่หนุ่มกว่าทั้งเอดูอาร์โด คามาวิงกา หรือโอเรเลียง ชูอาเมนี ที่เพิ่งคว้าแชมป์ยุโรปกับเรอัล มาดริดมา 

แต่ในเกมนัดแรกทุกสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม ถูกตอบหมดแล้ว ก็องเตยังคงความเป็นตัวแบกในเกมรับ และคงความเป็นเวิล์ดคลาสเหมือนเดิม ตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกมจนถึงเสียงนกหวีดหมดเวลา ก็องเต้ยังคงวิ่งไปทั่วสนามเหมือนเดิม มีส่วนร่วมทั้งเกมรับและเกมรุก วิ่งไม่มีหมด สมฉายา ‘ก็องเต้ 8 ปอด’  

อีกทั้งยังมีจังหวะสกัดบอลในจังหวะสำคัญ นาทีที่ 85 ช่วงท้ายเกมตอนที่แพทริค วิมเมอร์ กองกลางตัวสำรองของออสเตรีย เกือบจะหลุดเดี่ยวไปดวลกับผู้รักษาประตู แต่ทางก็องเต้แม้จะอยู่ข้างหลังทางวิมเมอร์หลายก้าว แต่ยังโชว์ความสุดยอดด้วยการอาศัยความเร็วและเหลี่ยมบอล วิ่งเข้าสกัดและส่งบอลคืนทางไมค์ ไมญ็อง ผู้รักษาประตูฝรั่งเศส ช่วยให้ทีมไม่เสียประตูตีเสมอ และคว้าชัยชนะได้สำเร็จ พร้อมคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ไปครอง

สถิติของ ก็องเต้ ในเกมระหว่างฝรั่งเศสกับออสเตรีย

  • ลงเล่น 90 นาที
  • วิ่ง 11.77 กิโลเมตร
  • ตัดบอล 2 ครั้ง
  • ชนะการดวลบนพื้น 5 ครั้ง
  • แย่งบอลกลับมาครอง 6 ครั้ง
  • สร้างโอกาสทำประตู 2 ครั้ง
  • สกัดบอลจังหวะสำคัญ 1 ครั้ง
  • ไม่มีใครเลี้ยงผ่านได้
  • บล็อกลูกจ่าย 3 ครั้ง
  • เข้าปะทะสำเร็จ 2 ครั้ง
  • วางบอลยาวแม่นยำ 2 ครั้ง

“ขอบคุณทุกคน ! ผมดีใจที่ได้กลับมา นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ! ผมชอบที่จะเล่นกับทีมชาติ ผมชอบตอนที่แฟน ๆ เริ่มตะโกนชื่อของผม ขอบคุณจริง ๆ” เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กล่าวหลังเกม