ข่าวใหญ่เขย่าวงการฟุตบอล เมื่อ ‘พรีเมียร์ลีก’ การแข่งขันระดับโลกได้เปลี่ยนมือผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด หลัง JAS หรือ จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่าได้ชนะการประมูลด้วยดีลมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ครอบคลุมยาว 6 ฤดูกาลเต็ม (เบื้องต้น 3 ฤดูกาลแรก) เหตุการณ์ล้มยักษ์ในครั้งนี้ชวนให้หลายคนคิดถึงครั้งที่ CTH เคยสู้รบปรบมือกับยักษ์ใหญ่อย่าง ทรูวิชันส์ และปาดหน้าคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปในปี 2556 ก่อนจะต้องปิดฉากไปอย่างน่าเสียดาย เราไปย้อนเหตุการณ์ครั้งนั้นกันดีกว่าว่าอดีตที่ผ่านมา CTH ล่มสลายอย่างไร ?

จุดเริ่มต้นของ CTH

การตั้ง CTH (Cable Thai Holding) เริ่มต้นด้วยเงิน 50 ล้านบาท และเป็นเพียงการร่วมทุนของผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นกว่า 120 รายเท่านั้น โดยมีกฎสำคัญคือ จำกัดวงเงินการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละรายไว้ไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สามารถครอบงำการตัดสินใจบริษัทได้ และเพื่อให้มั่นใจว่าผลประโยชน์จะถูกกระจายไปยังผู้ถือหุ้นทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเพียงให้มีรายได้ครอบคลุมรายจ่าย หรือมีกำไรเพียงเล็กน้อย เพื่อสร้างความยั่งยืนและประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ร่วมทุนทุกคน

การจับมือล้มยักษ์พิชิตลิขสิทธิ์ Premier League

ในขณะนั้นเป็นการรวมกัน 3 ขาระหว่าง CTH ไทยรัฐ และเคเบิลท้องถิ่น เมื่อได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างไทยรัฐมาถือหุ้นร่วม คุณวิชัยก็เดินหน้าประมูลลิขสิทธิ์ Premier League ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน คือ “ต้องได้มา” ด้วยการทุ่มทุนสู้ราคาประมูลจากเดิมที่เคยอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท พุ่งไปสูงถึง 10,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารกรุงเทพและไทยรัฐเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นทางการ การประมูลครั้งนี้จึงถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับวงการทีวีไทย การประมูลสิทธิ์ใหม่สำหรับปี 2556-2559 เป็นโอกาสใหญ่ที่เปิดให้ผู้เล่นในตลาดหลายรายเข้าร่วมแข่งขันเพื่อแย่งสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลที่เป็นที่นิยมที่สุดในไทย ผลลัพธ์การประมูลสร้างความฮือฮา เพราะผู้ชนะเป็นหน้าใหม่ในวงการสื่อ นั่นคือ บริษัท CTH สามารถชนะเจ้าตลาดรายใหญ่อย่าง True Vision ได้อย่างสง่างาม

การที่ CTH ทุ่มทุนมหาศาล ทำให้พวกเขาได้รับสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกสำหรับผู้ชมในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลจำนวนมากที่กำลังมองหาตัวเลือกใหม่ในการรับชม แต่การท้าชนยักษ์ใหญ่อย่างทรูวิชันส์ที่มีประสบการณ์ในตลาดนี้มาก่อน ไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ CTH จะเข้าสู่สนามแข่งขันด้วยความหวังอันสูง แต่ในที่สุด พวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวงหลายประการจนล้มเหลวในที่สุด

ความหวังและการเติบโตครั้งใหญ่

เมื่อได้สิทธิ์การถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกในมือ CTH เริ่มต้นแผนธุรกิจขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าหมายหลักไว้ที่การขายสมาชิกแพ็กเกจเพย์ทีวีแก่ผู้ชมในประเทศไทย ด้วยความตั้งใจที่จะเพิ่มการเข้าถึงและทำกำไรจากสิทธิ์ถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกที่พวกเขาทุ่มทุนซื้อมา สมาชิกที่ต้องการรับชมครบทั้ง 380 แมตช์ สามารถจ่ายรายเดือนระหว่าง 300-500 บาท นอกจากรายได้จากสมาชิก CTH ยังมีแผนหารายได้เสริมด้วยการให้สิทธิ์การถ่ายทอดสดบางส่วนแก่ผู้ประกอบการสื่อและแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อกระจายรายได้และลดความเสี่ยงที่มาจากการพึ่งพารายได้สมาชิกเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้แผนการนี้จะดูดีบนกระดาษ แต่การดึงฐานลูกค้าใหม่กลับไม่ง่ายอย่างที่คาด CTH ได้ร่วมมือกับเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อหวังให้การขายแพ็กเกจสมาชิกเป็นไปอย่างกว้างขวาง แต่ปัญหาในการบริหารจัดการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย CTH ได้ฐานสมาชิกเพียง 200,000 ราย ห่างไกลจากเป้าที่วางไว้ที่ 1 ล้านราย นอกจากนี้ การรักษาสมาชิกให้คงอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องยาก เพราะการแข่งขันจากทรูวิชันส์ยังคงมีอยู่ และ CTH เองยังเผชิญปัญหาความไม่พอใจของผู้ใช้บริการอีกด้วย

ความผิดพลาดในการดำเนินธุรกิจ

หนึ่งในปัญหาหลักที่ส่งผลให้ CTH ขาดทุนมหาศาล คือการบริหารจัดการที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายและแผนการทำธุรกิจ การพึ่งพิงเคเบิลทีวีท้องถิ่นเพื่อขยายฐานสมาชิกนำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่คาดคิด แทนที่จะเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน กลับมีการแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว และมีปัญหาการเก็บค่าสมาชิกที่ไม่ราบรื่น อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์จากสมาชิกเกี่ยวกับคุณภาพของสัญญาณและการให้บริการที่ไม่ตรงตามคำโฆษณา การกระจายรายได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ก็ไม่เป็นไปตามแผน การขายสิทธิ์ถ่ายทอดสดบางแมตช์ให้แก่ช่องอื่น ๆ เป็นแหล่งรายได้เสริมที่ไม่พอเพียง

นอกจากนี้ CTH ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงจากการลงทุนซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกถึง 9,000 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยเป็นต้นทุนปีละ 3,000 ล้านบาท ควบคู่กับการลงทุนในอุปกรณ์เทคโนโลยีและโครงข่ายการถ่ายทอดสด การกู้เงินจากธนาคารวงเงินสูงกว่า 14,000 ล้านบาทกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง และเมื่อรายได้ไม่เป็นไปตามคาด ทำให้ขาดทุนสะสมมากขึ้น ในปี 2556 ขาดทุนสุทธิกว่า 3,279 ล้านบาท และในปี 2557 ขาดทุนพุ่งสูงถึง 4,455 ล้านบาท

จุดจบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สถานการณ์ทางการเงินที่แย่ลงอย่างรวดเร็ว และปัญหาการจัดการภายในที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ CTH ต้องประกาศยุติการให้บริการในปี 2559 การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องยาก แต่จำเป็น เพราะ CTH ไม่สามารถทนรับภาระหนี้สินมหาศาลได้อีกต่อไป การยุติการออกอากาศเป็นการปิดฉากความพยายามของบริษัทไทยที่จะท้าชนกับยักษ์ใหญ่ในวงการเคเบิลทีวี ความพยายามของ CTH แม้จะมีเจตนาที่ดีและการทุ่มเท แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความยากของการทำธุรกิจบันเทิงและกีฬาในประเทศไทย ที่มีการแข่งขันสูงและการพึ่งพิงรายได้หลักจากผู้บริโภคที่ยากจะควบคุม

ความล้มเหลวของ CTH แสดงให้เห็นถึงการท้าชนในตลาดที่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งทั้งด้านการเงิน การจัดการที่ดี และการสนับสนุนจากพันธมิตรที่ยั่งยืน ในขณะที่การแข่งขันในตลาดลิขสิทธิ์ฟุตบอลและกีฬาในปัจจุบันยังคงมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่ต้องการเข้ามาทำตลาด การเรียนรู้จากบทเรียนของ CTH อาจช่วยให้ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้เตรียมพร้อมมากขึ้น