ชัยชนะครั้งสำคัญของอินโดนีเซีย ที่สามารถเอาชนะทาง ซาอุดีอาระเบีย ได้ 2-0 ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 18 ทีมสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้พวกเขากลับมาอยู่ในเส้นทางการลุ้นไปฟุตบอลโลกอีกครั้ง หลังผ่านไป 6 นัด เก็บได้ 6 คะแนน รั้งอันดับ 3 ของกลุ่ม C ขึ้นมามีลุ้นไปฟุตบอลโลกแบบเต็มตัวครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งที่เมื่อ 4 ปีแล้วยังตกรอบแรก เป็นทีมอันดับสุดท้ายของกลุ่มอยู่เลย
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขาขึ้นมามีลุ้นไปฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบนี้กัน เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร เราจะเล่าให้ฟัง
อินโดนีเซียก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลง
อินโดนีเซีย ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในปี 2020 ทีมของพวกเขายังถือว่าไม่ได้อยู่ในจุด หรือ มีทิศทางที่จะขึ้นมาท้าชิงตั๋วไปฟุตบอลโลกได้เหมือนในครั้งนี้ จากผลงานในรอบคัดเลือกครั้งก่อน ที่พวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับยูเออี, เวียดนาม, มาเลเซีย และ ไทย แต่สามารถเก็บได้เพียง 1 คะแนน จากการแข่ง 8 นัด โดยยิงได้แค่ 5 ประตู แต่เสียไปถึง 27 ประตู จบอันดับสุดท้ายของกลุ่มไปแบบไม่ได้ลุ้นอะไรเลย
ซึ่งหนึ่งในคนที่ถูกโจมตีมากที่สุดในเวลานั้นแน่นอนว่าต้องกุนซือของทีมอย่าง ชิน แท-ยง กุนซือชาวเกาหลีใต้ ด้วยโปรไฟล์ที่ก่อนมาคุมอินโดนีเซีย ตัวเขาเคยพาเกาหลีใต้ไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียมาแล้ว ทำให้แฟนบอลหลายคนต่างคาดหวังไปต่าง ๆ นานา ซึ่งสุดท้ายไม่เป็นอย่างหวัง แต่อย่างไรก็ตามทางสมาคมฟุตบอลของอินโดนีเซียก็ยังเข้าใจและให้โอกาสได้ทำงานต่อ เพราะเข้าใจในเรื่องคุณภาพนักเตะ พร้อมหาแนวทางในการพัฒนาร่วมกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญของอินโดนีเซีย
จุดเปลี่ยนสำคัญของอินโดนีเซียเกิดขึ้นในปี 2023 เมื่อ เอริก โธฮีร์ รัฐมนตรีกระทรวงรัฐวิสาหกิจและอดีตเจ้าของอินเตอร์ มิลาน ยักษ์ใหญ่ของอิตาลี และ สโมสรดี.ซี. ยูไนเต็ดของสหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็นประธานคนใหม่ของสมาคม ที่มาพร้อมกับแนวทางและวิธีการคิดใหม่ ๆ ในการสร้างทีมชาติ
อินโดนีเซียได้ใช้แนวทางใหม่ในการสรรหานักเตะมาติดทีมชาติ จากแต่ก่อนจะเลือกแต่คนท้องถิ่นที่เกิดหรืออาศัยอยู่ในอินโดนีเซีย แต่ในปัจจุบันไม่จำเป็น ขอแค่มีเชื้อสายจากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายของพวกเขาก็พอ ไม่จำเป็นต้องเกิดหรือโตที่อินโดนีเซีย จึงได้มีการไปแสวงหานักเตะจากทั่วทุกมุมโลกที่มีเชื้อสายอินโด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนเธอร์แลนด์
สาเหตุสำคัญที่ในเนเธอร์แลนด์ มีนักเตะที่มีเชื้อสายอินโดจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน อินโดนีเซียเคยเป็นเมืองขึ้นของเนเธอร์แลนด์มาก่อนในช่วงล่าอาณานิคม ประชากรจำนวนนึงในเนเธอร์แลนด์จึงมีเชื้อสายอินโด-ดัตช์ จากรุ่นทวดหรือปู่ย่าตายาย
ทำให้อินโดนีเซียได้นักเตะหน้าใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่ใช่นักเตะเกรดเอ แต่ก็เป็นเกรดบีของเนเธอร์แลนด์ ที่มีความสามารถแต่ขึ้นไปติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มาร์เท่น เพส์ (ผู้รักษาประตู), เจย์ อิดเซส(กองหลัง), จัสติน ฮับเนอร์(กองหลัง), คาลวิน เวอร์ดองก์(แบ็คซ้าย), นาธาน โจ-เอ-ออน(แบ็คขวา), แซนดี้ วอลช์(แบ็คขวา), ทอม เฮย์(กองกลาง), อิวาร์ เจนเนอร์(กองกลาง), รักนาร์ โอรัทมันโกน(กองหน้า), ราฟาเอล สตรูอิค(กองหน้า) เป็นต้น
ซึ่งแน่นอนวิธีการแบบนี้ ย่อมตามมาด้วยเสียงวิพากษณ์วิจารณ์จำนวนมาก คนในประเทศมองว่าการเรียกนักเตะพวกนี้มา แม้จะเป็นเหมือนทางลัดที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นการบ่อนทำลายการพัฒนาของนักเตะท้องถิ่นไปในตัว แต่อย่างไรก็ด้าน เอริก โธฮีร์ ประธานสมาคม ก็ไม่ได้สนใจโดยเชื่อมั่นและเดินหน้าต่อด้วยวิธีการนี้ ส่วนด้าน ชิน แท-ยง กุนซือของทีม ก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน โดยเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ผู้เล่นเหล่านี้ล้วนมีเลือดและเชื้อสายของชาวอินโดนีเซีย ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรได้รับหนังสือเดินทางอินโดนีเซียและสิทธิ์ในการติดทีมชาติเช่นกัน”
อินโดนีเซียในฟุตบอลโลกครั้งนี้
อินโดนีเซียในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งนี้ พวกเขามาพร้อมด้วยขุมกำลังที่แทบจะเป็นคนละทีมกับเมื่อ 4 ก่อน ตัวผู้เล่นของพวกเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยที่ผู้เล่นส่วนใหญ่มาจากลีกยุโรปแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะ ลีกดัดซ์, ลีกเบลเยี่ยม ลีกสหรัฐอเมริกา ลีกอิตาลี และรวมไปถึง ลีกอังกฤษ
ด้วยคุณภาพและมาตรฐานของผู้เล่นที่ดีขึ้น จึงทำให้อินโดนีเซียผ่านเข้ารอบ 18 ทีมสุดท้ายมาได้ ซึ่งเป็นทีมเดียวในอาเซียนที่สามารถผ่านเข้ารอบนี้ และถูกจับมาอยู่ในกลุ่ม C ร่วมกับ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ซาอุดีอาระเบีย บาเรนห์ และจีน ซึ่งในรอบนี้แม้ว่าพวกเขาจะผู้เล่นที่ดีขึ้น แต่การเจอกับทีมระดับท็อปของเอเชียก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาเก็บได้เพียง 3 คะแนนจาก 5 นัดแรก โดยเสมอกับ ซาอุฯ 1-1, เสมอกับ ออสเตรเลีย 0-0 และ เสมอกับบาเรนห์ไป 2-2 แบบน่าเจ็บใจเพราะโดนตีเสมอในช่วงทดเวลา
ก่อนที่จะมาพลาดท่าแพ้จีนไป 2-1 และ โดนญี่ปุ่นบุกมาถล่มถึงบ้าน 0-4 ทำให้หลังผ่านครึ่งทางของการแข่งขันในรอบนี้ อินโดนีเซีย รั้งอันดับสุดท้ายของกลุ่ม ก่อนที่ในนัดล่าสุดอินโดนีเซียจะมาสร้างเซอร์ไพรส์เปิดบ้านเอาชนะ ซาอุฯ ได้ 2-0 แม้จะเหลือ 10 คนในช่วงท้าย ทำให้อินโดนีเซียเก็บเพิ่มเป็น 6 คะแนน พลิกสถานการณ์จากอันดับ 6 ขึ้นมา อันดับ 3 พร้อมมีลุ้นไปบอลโลกแบบเต็มตัว
แต่อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะรั้งอันดับ 3 ของกลุ่ม แต่ทีมอันดับ 4-6 ก็มีคะแนนเท่ากันที่ 6 คะแนน ทำให้สถานการณ์ในกลุ่มนี้ยังสามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา ซึ่งผลสุดท้าย อินโดนีเซีย จะสามารถคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลกครั้งแรกได้หรือไม่ ก็ต้องมาลุ้นกันในอีก 4 นัดที่เหลือ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลของอินโดนีเซีย และ อาเซียน ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนานเท่านาน