มาแบบเงียบ ๆ แต่ตอนนี้แซงขึ้นจ่าฝูงไปแล้วสำหรับ ทัพตราหมี แอตเลติโก มาดริด ของยอดกุนซืออย่าง ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ที่สร้างสถิติเก็บชัยชนะ 12 นัดติดรวมทุกรายการ กลายเป็นทีมม้ามืดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะขึ้นมาท้าชิงแชมป์กับ 2 ยักษ์ใหญ่ของลีก อย่าง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลนา ได้ในปีนี้ ทั้ง ๆ ที่ปีก่อนทีมของพวกเขายังเป็นทีมที่เต็มไปด้วยปัญหาอยู่เลย

ซิเมโอเน่ ทำยังไงให้ทัพตราหมีกลับมาผงาดอีกครั้ง อะไรเป็นปัจจัยบ้าง ติดตามได้ที่นี่

ปัจจัยที่ทำให้ขึ้นมาลุ้นแชมป์

1. การเสริมทัพที่ยอดเยี่ยม

หลังจากฤดูกาลก่อนทัพตราหมี ทำผลงานได้ไม่ค่อยน่าประทับใจ จบอันดับ 4 ในลีก โดนทีมเล็กอย่าง คิโรน่า แซงขึ้นไปเป็นอันดับ 3 จบฤดูกาลด้วยมือเปล่าไม่สามารถคว้าแชมป์ใด ๆ มาครองได้ ทำให้ในฤดูกาลนี้ พวกเขาจึงตัดสินเปลี่ยนแปลงทีม โละตัวผู้เล่นเก่า ๆ ที่กำลังเข้าสู่วัยร่วงโรย และ ไม่ได้ใช้งาน ออกจากทีมไป ไม่ว่าจะเป็น อัลบาโร่ โมราต้า, สเตฟาน ซาวิช, มาริโอ เอร์โมโซ่, ซาอูล นิเกซ, เมมฟิส เดปาย และ ชูเอา เฟลิกซ์ 

แล้วเสริมขุมกำลังยุคใหม่เข้ามายกระดับทีม โดยทุ่มเงินกว่า 200 ล้านยูโร ในการคว้าตัวผู้เล่นมา ไม่ว่าจะเป็น อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ ดาวซัลโวอันดับ 2 ของลีกจากบียาร์เรอัล, คอเนอร์ กัลลาเกอร์ กองกลางพลังม้าจากเชลซี, โรแบ็ง เลอ นอร์กม็องด์ กองหลังดีกรีแชมป์ยูโรจากเรอัล โซเซียดาด และ ฮูเลียน อัลวาเรซ ดาวยิงแชมป์โลกจากแมนฯ ซิตี้ เข้ามาสู่ทีม

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าย่อมตามมาด้วยปัญหาเสมอ ทำให้ในช่วงต้นฤดูกาลของพวกเขาต้องเจอกับช่วงเวลาที่ทุลักทุเลไปสักหน่อย พวกเขาสะดุดเสมอไปถึง 5 จาก 9 นัดแรก เก็บได้เพียง 17 คะแนน โดนจ่าฝูงอย่างบาร์เซโลนาทำคะแนนทิ้งห่างไปถึง 10 คะแนน ทำให้เกือบหลุดจากวงโคจรการลุ้นแชมป์ไปแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มหาความลงตัวได้ และ สามารถเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง 

2. ค้นพบระบบการเล่นที่ลงตัว กับ ผู้เล่นที่ใช่

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทัพตราหมีฟอร์มร้อนแรง คือ การที่ ซิเมโอเน่ ได้นำระบบ 4-4-2 กลับมาใช้อีกครั้ง หลังเคยประสบความสำเร็จจากการใช้แผนนี้คว้าแชมป์ลาลีกามาแล้วในฤดูกาล 2020-21 โดย ซิเมลโอเน่ เริ่มใช้แผนนี้ตั้งแต่ในเกมที่พบกับเชลต้า บีโก้ ในเกมลีกนัดที่ 7 ของฤดูกาล หลังจากใช้แผน 3-5-2 แล้วไม่เวิร์ก

ซึ่งเมื่อเจอระบบที่ลงตัว และ ตัวผู้เล่นที่ใช่แล้ว แอตมาดริด ก็เริ่มเครื่องติดเก็บชัยชนะติดต่อกัน 12 นัดรวมทุกรายการ เอาชนะได้ทั้งหมดไม่ว่าจะทีมเล็กหรือทีมใหญ่ ผู้เล่นหลายคนในทีมก็พากันฟอร์มดี ทั้งเกมรุกและเกมรับ อย่างในเกมรุกก็มี อองตวน กรีซมันน์ ที่แม้จะอายุ 33 แล้ว แต่ก็ยังหวังพึ่งได้เสมอ ที่จับคู่กับ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ดาวยิงแชมป์โลก ที่สามารถประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ทำประตูรวมกันไปแล้วกว่า 23 ลูกในฤดูกาลนี้ 

หรือจะเป็นในแดนกลางของทีมที่มี โรดริโก้ เด ปอล กองกลางแชมป์โลกที่กลับมาฟอร์มดี จับคู่กับ ปาโบล บาร์รีออส กองกลางดาวรุ่งฟอร์มแรง ที่ขึ้นมาเบียดตัวจริง โกเก้ กองกลางตัวเก๋าของทีมได้ โดยการประสานงานกันของทั้งคู่ สามารถช่วยทีมได้ทั้งในเกมรับและเกมรุก เป็นพลังงานสำคัญให้กับทีม แถมยังมีทีเด็ดเรื่องลูกยิงไกลอีกต่างหาก 

มาต่อกันที่เกมรับ ที่ในปีนี้กลับมาเหนียวแน่นอีกครั้ง เสียไปเพียง 12 ประตูเท่านั้น ซึ่งน้อยที่สุดในลีก จากการประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ระหว่าง โฮเซ่ คิเมเนซ กองหลังตัวเก๋าของทีม ที่จับคู่กับ เกลม็องต์ ล็องเล่ต์ กองหลังตัวยืมจากบาร์เซโลน่า นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้รักษาประตูและกัปตันทีมอย่าง ยาน โอบลัค ที่ในฤดูกาลนี้เก็บคลีนชีทไปแล้ว 8 นัดในลีก มากที่สุดเป็นอันดับ 2

3. ทีเด็ดจากม้านั่งสำรอง

อีกหนึ่งสิ่งที่ แอตมาดริด พัฒนาขึ้นจากปีก่อนก็คือ ขุมกำลังเชิงลึก ที่มีความแข็งแกร่ง และ สามารถทดแทนกันได้ ทั้งในเกมรุกและเกมรับ ทำให้ ซิเมโอเน่ มีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งในการหมุนเวียนผู้เล่น และ ในการแก้เกม 

โดยพวกเขามักได้ประตูจากตัวสำรองอยู่บ่อยครั้งในฤดูกาลนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ อังเคล คอร์เรอา ซูเปอร์ซับของทีม ที่ในตอนนี้ยิงไปแล้ว 5 ประตู ซึ่งประตูทั้งหมดมาจากการเป็นตัวสำรองทั้งสิ้น อีกหนึ่งคนคือ อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอธ กองหน้าร่างใหญ่ของทีม ที่มักจะลงมาเป็นซูเปอร์ซับยิงประตูให้กับทีม อย่างในเกมล่าสุดที่เจอกับบาร์เซโลนา

ส่งผลให้ แอตมาดริด กลายเป็นทีมจอมคัมแบ็กไปแล้วในฤดูกาลนี้ โดยมีสถิติการยิงประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บมากถึง 13 ประตู นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล นักเตะตัวสำรองสามารถสร้างความแตกต่าง เปลี่ยนผลการแข่งขันให้จากแพ้เป็นเสมอ หรือ จากเสมอเป็นชนะได้ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ ที่ทำให้พวกเขาสามารถเก็บแต้มสำคัญได้ในหลาย ๆ นัด และ รั้งตำแหน่งจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้