‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซี หนึ่งในทีมที่เคยฟอร์มร้อนแรงที่สุดทีมนึงของฤดูกาล ที่เคยขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ของตารางพรีเมียร์ลีกมาแล้วในช่วงเดือนปลายธันวาคมที่ผ่านมา แต่อยู่ ๆ แค่ช่วงเวลาไม่กี่เดือนฟอร์มของพวกเขาก็กลับดรอปลงอย่างน่าใจหาย โดยพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้เพียง 2 นัดเท่านั้น จาก 10 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก จนหล่นลงมารั้งอันดับ 6 ของตารางในปัจจุบัน

อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ฟอร์มของพวกเขาดรอปลงขนาดนี้ ปัญหาทั้งหมดคืออะไร เราจะพาไปหาคำตอบกัน

ทัศนคติความเป็นผู้ชนะ

นับตั้งแต่วันที่ เอ็นโซ มาเรสก้า กุนซือของทีม ได้ออกมาประกาศว่า ‘เชลซีไม่ใช่ทีมลุ้นแชมป์’ ในช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ฟอร์มของทีมก็เริ่มดรอปลงตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ เอ็นโซ ได้ให้สัมภาษณ์จะแสดงถึงความถ่อมตัว และ ไม่สร้างแรงกดดันให้นักเตะ แต่อีกสิ่งที่แสดงให้เห็นเช่นกันก็คือ ทัศนคติความเป็นผู้ชนะ ที่แตกต่างไปจากเชลซีในยุคก่อน

ซึ่งหากเทียบกับบทสัมภาษณ์ของอดีตกุนซือของทีม อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เคยประกาศชัดว่า ‘จะพาเชลซีคว้าแชมป์ตั้งแต่ตอนรับตำแหน่ง’ หรือ ในยุคของ โทมัส ทูเคิล ที่เคยประกาศไว้ว่า ‘จะทำให้เชลซีเป็นทีมที่ทุกทีมไม่อยากเจอ’ จะเห็นได้ชัดว่าทัศนคติความเป็นผู้ชนะ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

แผนอินเวิร์ทที่เริ่มไม่ได้ผล

เอ็นโซ มาเรสก้า เป็นกุนซือที่มีแนวทางและวิธีการของตัวเองอย่างชัดเจน ที่เน้นในการใช้แบ็คหุบเข้ามาอินเวิร์ท ช่วยแดนกลาง ซึ่งก็ถือว่าเป็นแผนที่ได้ผลดีในช่วงต้นของฤดูกาล ที่เก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ จากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของ มาร์ค คูคูเรย่า ที่มีส่วนร่วมกับทีมทั้งเกมรับและเกมรุก แต่พอนานวันเข้า คู่แข่งหลายทีมก็เริ่มจับทางได้ จนทำให้แผนนี้เริ่มไม่ได้ผล

ซึ่งถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างในบางนัด ในการให้ มาโล กุสโต้ หรือ รีซ เจมส์ เป็นฝั่งที่อินเวิร์ทเข้าไปแทน แต่ทั้งกุสโต้ และ เจมส์ ก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่สามารถเล่นในตำแหน่งนี้ได้อย่างธรรมชาติ และ ไม่สามารถสร้างอิมแพ็คให้กับทีมได้ ทำให้ใน 10 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก เชลซีเก็บแต้มได้เพียง 9 คะแนนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับช่วงต้นฤดูกาลใน 16 นัดแรก ที่เก็บแต้มได้ถึง 34 คะแนน

ทีมวัยรุ่นขาดมาตรฐาน

ด้วยความที่เชลซีเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะดาวรุ่ง อายุน้อย ที่ประสบการณ์ยังไม่มาก ทำให้ในบางนัดยังขาดมาตรฐาน และ ความสม่ำเสมอ อย่างนัดที่สามารถทำประตูขึ้นนำได้ก่อนในช่วงต้นเกม แต่พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็กลับไม่สามารถรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเองเอาไว้ได้ตลอดทั้งเกม จนบางครั้งก็ถูกคู่แข่งตีเสมอ หรือ ถูกยิงแซงชนะในท้ายที่สุด จนมีสถิติว่า 4 ครั้งหลังสุดที่เชลซีขึ้นนำคู่แข่งได้ในครึ่งแรก พวกเขาไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลย แบ่งเป็น เสมอ 2 และ แพ้ 2

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากกับเชลซีในยุคปัจจุบัน การที่ทีมมีแต่นักเตะดาวรุ่ง ขาดนักเตะตัวเก๋าที่มีประสบการณ์ ทำให้เวลาที่เชลซีเจอสถานการณ์ที่กดดัน หรือ ช่วงเวลาที่ต้องการรักษาผลการแข่งขัน พวกเขาก็มักพลาดเสียประตูและทำแต้มหลุดมืออยู่เสมอ

นักเตะฟอร์มดรอป

ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากข้อก่อนหน้า ด้วยความที่เป็นทีมวัยรุ่นเวลาที่ทีมฟอร์มดี นักเตะหลายคนก็มักจะฟอร์มดีตาม แต่พอฟอร์มทีมแย่ นักเตะหลายคนก็มักจะฟอร์มดรอปลงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในตำแหน่งเกมรับ ทั้งในตำแหน่งผู้รักษาประตู และ กองหลัง ที่ยังไม่สามารถหาจุดลงตัวได้ และ ทุกคนก็พร้อมที่จะผิดพลาดกันได้เสมอ

อีกทั้งผู้เล่นในตำแหน่งตัวรุกของทีมอย่าง จาดอน ซานโช่ , นิโคลัส แจ็คสัน, เปโด เนโต้ และ โนนี่ มาดูเอเก้ ที่พร้อมใจกันหลุดฟอร์ม ขาดความนิ่ง และ ความมั่นใจ โดยสถิติเผยว่าเชลซีทำประตูคู่แข่งได้เฉลี่ยเพียงนัดละ 1.1 ประตูเท่านั้น จาก 10 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งแตกต่างกับ 16 เกมแรกของฤดูกาลที่ทำประตูได้เฉลี่ยถึงนัดละ 2.3 ประตู

รวมไปถึงตัวความหวังของทีมอย่าง โคล พาลเมอร์ ก็ฟอร์มหลุดไปเช่นเดียวกัน โดยตลอด 10 นัดหลังสุด พาลเมอร์ มีส่วนร่วมกับประตูไปเพียง 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับ 16 นัดแรกที่เขามีส่วนร่วมกับประตูไปถึง 17 ประตู ซึ่งนับเป็น 47 เปอร์เซ็นต์ของประตูทั้งหมดที่เชลซีทำได้

บอร์ดบริหารที่ทำงานผิดพลาด

อีกหนึ่งปัญหาที่ไม่ควรถูกมองข้าม คือการบริหารงานของบอร์ดบริหาร ที่เลือกตัดสินใจปล่อยนักเตะที่ขุมกำลังเชิงลึกของทีมออกไปจำนวนมาก และไม่ได้ซื้อนักเตะใหม่เข้ามาทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดีลของ ชูเอา เฟลิกซ์ ที่ปล่อยยืมไป เอซี มิลาน ที่ส่งผลให้ขุมกำลังเชิงลึกของเชลซีดรอปลงไปอย่างชัดเจน ขาดตัวทดแทน และ ตัวสำรองที่มีคุณภาพที่สามารถลงมาพลิกเกมได้

ซึ่งในช่วงนี้ที่ผู้เล่นของเชลซีเริ่มมีอาการบาดเจ็บกันไปทั้ง แจ็คสัน, มาดูเอเก้, ลาเวีย, โฟฟานา และ บาเดียชิล ทำให้เชลซีต้องกลับมาเลือกใช้ผู้เล่นดาวรุ่งขึ้นมาเป็นตัวสำรองแทน ซึ่งทำให้คุณภาพโดยรวมของทีมดรอปลงไป