สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากเดือนที่ผ่านมา บีเพิ่งผ่านการจบการศึกษามาหมาดๆ เข้าสู่วัย First Jobber แบบงุนงง ยอมรับเลยว่าบีแอบตื่นเต้นบ้างเล็กน้อยและก็มีนอยด์เวลาต้องทำนู่นทำนี่ที่เราไม่ถนัดและไม่เคยทำมาก่อน เอาจริงเดือนที่ผ่านมาหมดพลังไปมหาศาลเลยค่ะ
แต่บีเชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านประสบการณ์การสำเร็จการศึกษามาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสมัย ม.6 ที่ต้องลาจากโรงเรียนมัธยมอันแสนอบอุ่น หรือจะเป็นสมัยมหาวิทยาลัยที่ต้องลาจากชีวิตวัยเรียน มาสู่โลกแห่งความจริง และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ ที่เราทุกคนจะตั้งหลักได้หลังเรียนจบ
และแน่นอนว่าชีวิตในวัย 23 ปีของหลายๆ คนคงจะเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ และอลหม่านไม่น้อยไปกว่าบีเลย
สำหรับบีแล้วช่วงเรียนจบเป็นช่วงที่เคว้งคว้างอย่างที่สุดเรียกได้ว่าเคว้งกว่าทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เคยพบเจอมาเลย เราทุกคนจำต้องจากบ้านอันเป็นที่รัก มหาวิทยาลัยอันแสนสนุก และเพื่อนพ้องน้องพี่แสนผูกพันธ์ แน่นอนอีกเช่นกันว่าในบางช่วงเวลาเราคงไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร ครั้นจะกลับไปเรียน ก็กลายเป็นว่าต้องเรียนโทอย่างเดียว (อารมณ์แบบ นี่ฉันต้องลาจากเพื่อนป.ตรีไปจริงๆหรอ) ครั้นจะทำงาน ก็ได้แต่กังวลว่าจะมีศักยภาพพอรึเปล่า แถมบางคนยังคิดไปไกลเสียอีกว่า หน้าอย่างฉันนี่นะ บริษัทไหนจะรับกัน (แอบเศร้านะเนี่ย555)
ครั้นจะอยู่เฉยๆ กินๆ นอนๆ ไปวันๆ ก็ดูเหมือนว่าพ่อแม่จะไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก (แหงสิ ผลาญเงินและเวลาไปโดยใช่เหตุ) และเหตุผลทั้งหมดนี้มันเป็นตัวผลักดันให้เราทุกคนต้องเติบโตและเดินออกไปเรียนรู้โลกแห่งความจริงนั่นเอง
วันนี้บีเลยจะมาแชร์ประสบการณ์หลังเรียนจบของบี รวมถึงแนะนำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ รุ่นหลัง (บีดูแก่ขึ้นมาทันที5555) ที่เสิร์ช google ว่า “เรียนจบ ทำอะไรดี”
Gap year ค้นหาตัวเองให้สุดฤทธิ์
บีจำได้ว่าวันหนึ่งขณะยืนอ่านบอร์ดหน้าคณะ เพื่ออัพเดทกิจกรรมต่างๆ ก็มีอาจารย์ฝรั่งใจดีท่านหนึ่ง ซึ่งบีเคยเรียนด้วยในช่วงปี 3 เดินมาบอกว่า “หากคุณต้องการ Reference สามารถบอกผมได้ตลอด ยินดีเขียนให้” แถมยังแนะนำบีอีกว่า หากยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตหลังเรียนจบยังไง ลองใช้เวลาว่างในช่วงปีแรกเพื่อค้นหาตัวเองก่อน ตอนนั้นบีเองก็คิดว่าเป็นความคิดที่เจ๋งอีกความคิดหนึ่งเลย
ว่ากันว่าชีวิตหลังเรียนจบ 1 ปี หากเราใช้มันในการค้นหาตัวเอง ไม่ถือเป็น 1 ปีที่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น ว่าเราชอบอะไร เวลาที่เราว่างเราอยากหมกมุ่นกับสิ่งใด และเราอยู่กับอะไรได้นานๆ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ ดังนั้นช่วง 1 ปี Gap year นี้ ควรลองหางานอดิเรกทำไปพลางๆ เผื่องานอดิเรกใน Gap year นี้จะสามารถนำไปต่อยอดในอาชีพการงานได้ในอนาคต
ทำงานสิ ทำไปเลย
งานอะไรก็ตาม หากคุณลองไปสัมภาษณ์แล้วเกิดได้ขึ้นมา ก็ลองทำมันไปก่อน แต่ลองทำมันให้ดีที่สุด จะได้รู้กันไปเลยว่าคุณก็เป็นอีกคนบนโลกที่เจ๋งมากๆ แต่ถ้าทำไปทำมาแล้วดันระลึกได้ว่าไม่ใช่จริงๆ ก็แค่ถอยออกมา ก็นี่มันโควต้าช่วงปีแรกนี่น่า คุณจะเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ก็ไม่มีปัญหาเพราะยังมีข้ออ้างของความเป็นเด็กที่เราเอามันมาเล่นซุกซนเป็นข้ออ้างได้ แต่ถ้าใครคิดว่าจะมีบาดแผลต่อโปรไฟล์ในอนาคตก็ลองทำแบบ Intern ไปชิลๆ เนอะ
หลังจากที่บีลองทำงานมา 1 เดือน ทำให้บีรู้ว่า การทำงานแบบจริงๆ จังๆ มันเจ๋งมาก!! ได้เรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งวิชาเรียน วิชาชีวิต ได้ฝึกความอดทนและเรียนรู้งานแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แถมยังได้พบเจอผู้คนมากมาย ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและทำให้เราเติบโตขึ้นด้วย บีเลยอยากแนะนำว่าลองใช้ชีวิตช่วงนี้สังเกตุชีวิตของผู้คนที่พบเจอและลองวางแพลนชีวิตดูค่ะ ว่าเราอยากใช้ชีวิตแบบไหนหรือใช้ชีวิตแบบใคร แล้วจะได้ข้อคิดสำหรับการไปตั้งหลักมากมายเลยแหละ
ไปเที่ยวกัน มันส์ให้สุด
สำหรับใครที่ยังไม่เริ่มต้นทำงานแบบจริงๆ จังๆ ลองออกไปหาแรงบันดาลใจจากการท่องเที่ยวดูค่ะ อาจจะได้ประสบการณ์ดีๆ ได้คอนเนคชั่นเจ๋งๆ หรือได้ลู่ทางชีวิตก็ได้ แต่แน่นอนว่าข้อนี้ถูกสงวนให้กับคนที่มีตังเท่านั้น! ฮั่นแหน่ะ ใครที่โอดครวญว่าเพิ่งเรียนจบจะเอาเงินมาจากไหนกันล่ะ
บีแนะนำว่าลองเที่ยวไป หาเงินไปสิ ไม่ว่าจะออกท่องเที่ยวแล้วเอาของเก๋ๆ ไปขายตามที่ต่างๆ หาเงินสมทบ หรือจะลองท่องเที่ยว ถ่ายภาพสวยๆ เขียนบทความเก๋ๆ แล้วขอสปอนเซอร์สินค้าหรือสถานที่ต่างๆ ทำให้เป็นการเป็นงาน ถ้าบทความคุณน่าสนใจพอ คงไม่มีแบรนด์ไหนกล้าปฏิเสธหรอกน่า
เข้าวัด ทำบุญบ้าง
แน่นอนว่าช่วงนี้จิตใจจะชอบล่องลอย จำใจต้องห่างสังคมเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แถมบางคนยังกดดันเพราะเพื่อนๆ มีงานทำกันไปหมดแล้ว ขณะที่บริษัทที่คุณส่งไปยังไม่เรียกไปสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ แถมเพื่อนสนิทยังจะหนีไปแต่งงานอีก (ปล่อยคุณว้าเหว่สะนี่) หรือกระทั่งว่าแฟนคุณต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ โถ่วววว ดราม่ามากๆ ชีวิตช่างเงียบเหงา
บีว่าเราลองเปลี่ยนช่วงเวลานี้ให้สงบขึ้น โดยหันไปหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อาจหาเวลาว่างช่วงนี้ไปทำสังฆทาน ให้อาหารปลาที่วัด หรือถ้าแอดว๊านกว่านั้นสักหน่อยก็หนีไปบวชสัก 3 วัน 7 วัน หนีจากโลกอินเตอร์เน็ทไปพักร้อนด้วยการบวช ก็ชิคดีเนอะ
แต่ถ้ามีโอกาสดีๆได้ไปออกค่ายอาสา หรือบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม บีว่ามันเจ๋งมากเลย รีบไปเถอะ อย่าช้า
เปลี่ยนใหม่ให้หมด
ช่วงเวลาที่น่าเบื่อและผ่านไปช้าๆ แบบนี้ ต้องเติมความท้าทายและแรงบันดาลใจให้ชีวิตสะหน่อย บีแนะนำว่าลองเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตดูสิ อะไรที่คิดว่ามันยังไม่เข้าที่เข้าทาง ไม่โอเค ก็จัดระเบียบมันสะใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัว หรือจะเปลี่ยนทรงผมสีแสบๆ ให้เป็นสาวผมดำขลับ หรือจะเปลี่ยนจากสาวผิวขาวมาเป็นสาวผิวแทนก็เก๋ดีไม่น้อย
มีอะไรที่จะสามารถพลิกด้าน กลับซ้าย กลับขวาได้อีกล่ะ ลองมันให้หมด เพราะที่ผ่านมาเรายังเด็กเกินไปที่จะตัดสินใจว่าอะไรเหมาะกับเราจริงๆ แต่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เราเริ่มเติบโตและมองเห็นตัวเองในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราได้ค้นหาตัวเองแบบจริงจังอีกครั้งว่าอะไรที่เป็นตัวตนของจริงๆ ดังนั้นนี่คือโอกาสที่ดีที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยแหละ
ยอมรับความผิดพลาดและความห่วยของตนเอง
ไม่ว่าเราจะเก่งมาจากรั้วมหาวิทยาลัยขนาดไหน เราอาจเป็นเด็กเกียรตินิยมอันดับ 1 หรืออาจเป็นนักกิจกรรมตัวยงที่ทุกคนเรียกหา แต่การยอมเป็นคนห่วยๆ ในบางครั้ง ย่อมทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น เพราะการทำตัวเป็นแก้วเปล่า พร้อมรับสิ่งต่างๆ ย่อมดีกว่าการทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว แล้วไม่รับสิ่งใหม่ๆ มาพัฒนาตัวเอง
หากคุณไม่เคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิต ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบและความโชคดีมาตลอด ช่วงเวลานี้แหละที่จะทำให้ได้ลองอะไรใหม่ๆ ได้เละเทะเลอะเทอะเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์บ้าง ออกไปมันส์กันเถอะวัยรุ่น
นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด ที่จะทำให้เราได้พบเจอและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ สำหรับปีที่เพิ่งจบการศึกษา เราอาจล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้ หรือเดินไปผิดที่ผิดทางบ้าง แต่มันก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเติบโตและนำประสบการณ์ไปพัฒนาตัวเองมากขึ้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เราอาจระลึกได้ว่าชีวิตที่มีบาดแผล คือชีวิตที่หล่อหลอมให้เราสมบูรณ์แบบมากขึ้นในอนาคต