วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) กล่าวถึงผู้ถือหุ้นในรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ว่า การสูญเสียผู้ใช้งานไปกว่า 1,000,000 บัญชีในครึ่งปีที่ผ่านมานั้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ และทางบริษัทยังคาดการณ์อีกด้วยว่าจะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 1,000,000 คน ในไตรมาส 3 นี้
ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเน็ตฟลิกซ์สูญเสียผู้ใช้งานไปเพียง 970,000 รายเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าครึ่งของจำนวนที่วอลสตรีทเคยทำนายไว้ที่ 2,000,000 ราย โดยการเติบโตนี้หลัก ๆ เป็นผลมาจากความนิยมอย่างล้นหลามของซีซันใหม่ของซีรีส์ ‘Stranger Things’ ซึ่งแทบจะเป็นซีรีส์ที่มาแรงที่สุดในโลกในตอนนี้
รายงานนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของเน็ตฟลิกซ์เติบโตขึ้นถึง 12% และพวกเขายังคาดการณ์อีกด้วยว่าในสามเดือนต่อจากนี้จะมีผู้ใช้งานมาสมัครเพิ่มถึง 1,000,000 คน ซึ่งจะมาทดแทนการสูญเสียทั้งหมดที่เสียไปในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
ถึงแม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม และความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ แต่เน็ตฟลิกซ์ก็ยังคงมั่นใจในธุรกิจของพวกเขา โดยเน็ตฟลิกซ์กล่าวว่าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพวกเขาได้ส่วนแบ่งการดูทีวีทั้งหมดในสหรัฐฯ ไปถึง 7.7% ซึ่งสูงที่สุดที่เคยมีมาในบริษัท และยังทิ้งห่างผู้ให้บริการอื่น ๆ อยู่มาก
แต่ทางเน็ตฟลิกซ์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ในขณะที่บริษัทเริ่มเห็นการเติบโต แต่ทีมบริหารก็ได้มีแผนตอบรับการสูญเสียผู้ใช้งานด้วยการลดต้นทุนและปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือแผนการเสนอแพ็กเกจราคาถูกที่มีโฆษณาในช่วงต้นปี 2023 และการหาวิธีเก็บเงินลูกค้าที่แชร์รหัสผ่านบัญชีเดียวกันในหลายบ้าน
รีด แฮสติงส์ (Reed Hastings) ประธานบริษัทเน็ตฟลิกซ์กล่าวว่าเน็ตฟลิกซ์เคยมีจุดยืนเป็นทางเลือกในการดูทีวีโดยไม่ต้องมีโฆษณา แต่เขาบอกว่าตอนนี้การเพิ่มโฆษณาเข้ามาอาจจะจำเป็นสำหรับกลุ่มลูกค้าที่สนใจบริการแต่รู้สึกว่าราคาแพงเกินไป ซึ่งเน็ตฟลิกซ์เคยขึ้นราคาของบริการมาหลายครั้งแล้ว และตอนนี้เป็นหนึ่งในบริการสตรีมมิงที่ราคาสูงที่สุดในตลาด
เน็ตฟลิกซ์จะเริ่มทดลองทั้งแพ็กเกจแบบมีโฆษณาและการเก็บเงินผู้ใช้งานที่แชร์รหัสกันในบางประเทศก่อนที่จะกระจายไปทั่วโลก นอกจากนี้ เน็ตฟลิกซ์ยังมีแผนที่จะเปลี่ยนมาปล่อยซีรีส์บนแพลตฟอร์มเป็นรอบ ๆ แทนที่จะปล่อยทีเดียวทุกตอนจนจบเหมือนที่เคยทำ เนื่องจากการทำแบบเก่าทำให้ซีรีส์มียอดผู้ชมสูงแค่ช่วงไม่กี่สัปดาห์แรก แล้วหลังจากนั้นยอดผู้ชมจะลดลงอย่างรวดเร็ว
ในไตรมาสนี้เน็ตฟลิกซ์คาดการณ์รายได้อยู่ที่ราว 7,840 ล้านเหรียญ (ราว 280,000 ล้านบาท) ต่ำกว่าคาดการณ์ของวอลสตรีทซึ่งอยู่ที่ราว 8,100 ล้านเหรียญ (ราว 290,000 ล้านบาท)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส