ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนามในร่างกฎหมายควบคุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ มูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ในขณะเดียวกันก็ขึ้นภาษีกับคนรวยเป็นหลัก
การร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นวาระสำคัญของ โจ ไบเดน เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้อาจช่วยส่งเสริมการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงคะแนนเสียงในเดือนพฤศจิกายนนั้นจะตัดสินว่าพรรคเดโมแครตของโจ ไบเดนยังคงควบคุมรัฐสภาต่อไปอีกสองปีหรือไม่?
แผนดังกล่าวนี้ยังรวมถึงการลงทุน 375,000 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้จ่ายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดว่าจะลดการปล่อยมลพิษของสหรัฐได้ถึง 44% ภายในปี 2573 ซึ่งจะลดการปล่อยมลพิษได้ถึง 35% ภายในปี 2030 ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้ต้องการให้แค่บริษัทต่าง ๆ ลดการปล่อยมลพิษเพียงเท่านั้น นอกจากนี้ยังให้สิทธิประโยชน์สำหรับบริษัทต่าง ๆ ในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนและมอบส่วนลดเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
นอกจากนี้ยังช่วยให้รัฐบาลสามารถต่อรองราคายาที่สั่งโดยแพทย์บางตัวภายใต้โครงการประกันสุขภาพของ Medicare สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีได้ในราคาต่ำกว่า ซึ่งคาดว่าจะประหยัดเงินได้หลายแสนล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ตามการประมาณการจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นายโจ ไบเดนกล่าวว่ามาตรการดังกล่าวเป็น “ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์” และเสริมว่า “พรรครีพับลิกันทุกคนในสภาคองเกรสลงคะแนนคัดค้านร่างกฎหมายนี้”
ร่างกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดภาษีทางเลือกนิติบุคคลขั้นต่ำ 15% โดยเน้นไปที่บริษัทที่ร่ำรวยซึ่งสามารถลดภาระภาษีได้ต่ำกว่าอัตรา 21% ทั้งนี้ยังใช้เงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในการบังคับใช้ภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ IRS ที่ประมาณการว่าจะสร้างรายได้ถึง 124,000 ล้านดอลลาร์ และพรรคเดโมแครตได้ให้คำมั่นว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี
แต่การวิเคราะห์กฎหมายโดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภากล่าวว่า คนอเมริกันที่มีรายได้น้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปีจะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20,000 ล้านดอลลาร์
ที่มา BBC
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส