สื่อต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการจัดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ครั้งที่ 20 ณ อาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน โดยมีประธานาธิบดีสีจิ้นผิง, นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของจีนและผู้แทนราว 2,300 คน เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้
ปธน.สี เปิดเผยว่า จีนจะประกาศใช้นโยบายเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายกังวลว่าจำนวนประชากรจีนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
“เราจะกำหนดนโยบายเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด และใช้ยุทธศาสตร์แห่งชาติแบบเชิงรุก เพื่อรับมือกับปัญหาประชากรสูงวัยที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ” ปธน.สี กล่าว
แม้ว่าจีนจะมีประชากร 1,400 ล้านคน ซึ่งนับว่ามากที่สุดในโลก แต่อัตราการเกิดของจีนคาดว่าจะลดลงเหลือต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2022 นี้ โดยนักประชากรศาสตร์คาดการณ์ว่า จำนวนเด็กเกิดใหม่จะลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 10 ล้านคน จากระดับ 10.6 ล้านคนในปี 2021 และตัวเลขดังกล่าวก็ยังลดลงจากปี 2020 ถึง 11.5% อีกด้วย
รายงานข่าวยังระบุอีกว่า จีนใช้นโยบายลูกคนเดียวมาตั้งแต่ปี 1980 ถึง 2015 และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นนโยบายลูก 3 คน หลังจากที่ตระหนักว่าจีนตกอยู่ในภาวะจำนวนประชากรลดลง ทั้งนี้ อัตราการเจริญพันธุ์ (Fertility Rate) ของจีนอยู่ที่ 1.16 ในปี 2021 ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราเจริญพันธุ์ที่ต่ำที่สุดในโลก และต่ำกว่าระดับที่ 2.1 ซึ่งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มองว่า เป็นตัวเลขที่สำคัญในการทำให้ประชากรมีเสถียรภาพ
หลังจากปลดล็อกนโยบายลูกคนเดียวแล้ว ทางการจีนได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเพิ่มจำนวนประชากร เช่น การลดหย่อนภาษี, การเพิ่มวันลาคลอดบุตร, การยกระดับประกันสุขภาพ, การให้ความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย, เงินพิเศษสำหรับบุตรคนที่ 3 และการควบคุมโรงเรียนสอนพิเศษ ซึ่งคิดค่าสอนในราคาแพง ซึ่งการสนับสนุนเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถจูงใจให้ประชากรมีลูกเพิ่มได้
สะท้อนจากงานวิจัยของ YuWa Population Research ที่ค้นพบว่า “ความปรารถนาของผู้หญิงจีนในการมีบุตรนั้นต่ำที่สุดในโลก” ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลหลายประการที่สนับสนุนความปรารถนาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่สูง, ค่าแรงต่ำ ซึ่งสวนทางกับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานขึ้น, โรคระบาด หรือแม้กระทั่งวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
ที่มา : Reuters
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส