สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการศึกษาของมูลนิธิเอลเลน แมคอาเธอร์ (Ellen MacArthur Foundation : EMF) และโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ซึ่งเปิดเผยว่า แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่างเนสท์เล่ (Nestle), มาร์ส (Mars) รวมถึงโคคา-โคล่า (Coca-Cola) และเป๊ปซี่ (Pepsi) กำลังใช้พลาสติกบริสุทธิ์มากขึ้น แม้จะเคยให้คำมั่นว่าจะลดการใช้พลาสติกลงก็ตาม
รายงานข่าวระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หลายแบรนด์ได้ให้ความร่วมกับ EMF โดยการตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการรีไซเคิลพลาสติก และลดการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยมีการให้คำมั่นว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมด จะต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ, รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ภายในปี 2025 ซึ่งข้อมูลจากรายงานล่าสุดของ EMF ระบุอีกว่า “เป้าหมายเหล่านี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับแบรนด์ยักษ์ใหญ่”
เนสท์เล่ ระบุว่า บริษัทฯ ใช้พลาสติกบริสุทธิ์ลดลงถึง 8% มาตั้งแต่ปี 2018 แต่การนำบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลนั้นไม่เป็นไปตามจำนวนที่ตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากขาดโครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล ซึ่งเรื่องนี้มีปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศที่เนสท์เล่เข้าไปทำตลาด
มาร์ส บริษัทผลิตขนมหวาน, อาหารคน และอาหารสัตว์ ระบุว่า บริษัทฯ มีความคืบหน้าอย่างมากในการจัดการกับขยะพลาสติก รวมถึงมีการลงทุนเป็นจำนวนเงินหลายล้านเหรียญเพื่อออกแบบบรรจุภัณฑ์จำนวนหลายพันชิ้นใหม่ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทั้งนี้ โคคา-โคล่าและเป๊ปซี่ยังไม่มีการออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าว
เกรแฮม ฟอร์บส์ (Graham Forbes) หัวหน้าโครงการพลาสติก กรีนพีซ (Greenpeace) สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาแสดงความคิดต่อผลการศึกษาของ EMF ว่า การให้ “คำมั่นภาคสมัครใจ” ของแบรนด์และประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนได้ และถือว่า “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง”
“ผลการศึกษานี้ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่รัฐบาลแต่ละประเทศ จะต้องจริงจังกับสนธิสัญญาลดการใช้พลาสติก รวมถึงลดการผลิตและลดการใช้พลาสติกให้ได้มากขึ้น หากคุณทำอะไรที่น้อยไปกว่านี้ นั่นหมายถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสภาพอากาศของโลกเรา” ฟอร์บส์กล่าว
ที่มา : Reuters
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส