เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2022 โดยบริษัทมีรายได้ 7,852 ล้านเหรียญ (ราว 257,860 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1.9% ในขณะที่กำไรกลับลดลงมากถึง 90.9% เหลือเพียง 55 ล้านเหรียญ (ราว 1,800 ล้านบาท) เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า
สำหรับจำนวนสมาชิก ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2022 Netflix มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 230.8 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 7.7 ล้านบัญชี เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สวนทางกับจำนวนที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 4.6 ล้านบัญชี เนื่องจากภาวะตลาดสตรีมมิงที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด
ทั้งนี้ การเติบโตของ Netflix มีปัจจัยสำคัญมาจาก Netflix Originals หรือภาพยนตร์และรายการทีวีเฉพาะของแพลตฟอร์มอย่าง Wednesday และ Glass Onion
“ปี 2022 เป็นปีที่ยากลำบาก ด้วยการเริ่มต้นที่ไม่ราบรื่น แต่ก็จบลงด้วยดี” ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ
นอกเหนือจากการประกาศผลประกอบการแล้ว รีด แฮสติงส์ (Reed Hastings) ซีอีโอร่วมของ Netflix ได้ประกาศวางมือจากตำแหน่ง หลังจากที่เขาร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นเมื่อ 25 ปีก่อน ทั้งนี้ แฮสติงส์กล่าวว่า เขาวางแผนจะทำงานร่วมกับ Netflix ต่อไปในฐานะประธานบริหารอีกหลายปี
การวางมือของแฮสติงส์ในครั้งนี้ ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงอนาคตของ Netflix อย่างไรก็ตาม ได้มีการเปิดเผยชื่อของผู้ที่จะมารับช่วงต่อแฮสติงส์แล้ว คือ เกร็ก ปีเตอร์ส (Greg Peters) หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer หรือ COO) ที่จะขึ้นมารับหน้าที่ซีอีโอร่วมกับ เท็ด ซารานดอส (Ted Sarandos) ซีอีโอร่วมคนปัจจุบัน
โดยภารกิจสำคัญของทั้งสองคือการแก้ไขปัญหาเรื่องการแชร์รหัสผ่าน รวมถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ระดับแม่เหล็กของแพลตฟอร์มแทนที่ซีรีส์ Stranger Things ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อป้องกันการยกเลิกสมาชิก
ทางด้าน อลิเซีย รีส (Alicia Reese) จากนักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities มองว่า มีเหตุผล 2 ประการที่ Netflix สามารถป้องกันไม่ให้สมาชิกยกเลิกได้ คือการสร้างสรรค์คอนเทนต์ระดับแม่เหล็กของแพลตฟอร์มให้แข็งแกร่ง และการนำเสนอแพ็กเกจสมาชิกราคาประหยัดแบบมีโฆษณา ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหยุดการเป็นสมาชิกชั่วคราว ทดแทนการยกเลิกสมาชิกแบบถาวรนั่นเอง
พิสูจน์อักษร : สุขยา เกษจำรัส