สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ในวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ (เวลาท้องถิ่นของอังกฤษ) ถูกนัดหมายให้เป็น Walkout Wednesday หรือวันนัดหยุดงานประท้วงของแรงงานชาวอังกฤษกว่า 500,000 คนจากหลากหลายสหภาพแรงงาน เพื่อเรียกร้องค่าจ้างที่เหมาะสม และสภาพการทำงานที่ปลอดภัย
รายงานข่าวระบุว่า การนัดหยุดงานประท้วงในครั้งนี้ ส่งผลให้โรงเรียนหลายหมื่นแห่งต้องปิดทำการสอน หรืออาจปิดบางแค่ส่วน ในขณะที่การเดินทางด้วยรถไฟต้องหยุดชะงัก เนื่องจากกลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ คนขับรถไฟ ครู และพนักงานมหาวิทยาลัย
แมรี เบาส์เทด (Mary Bousted) เลขาธิการของสหภาพการศึกษาแห่งชาติ (NEU) ระบุว่า สมาชิกแต่ละคนในสหภาพฯ รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหยุดงานประท้วง เนื่องจากค่าจ้างที่ลดลงหมายความว่ามีคนจำนวนมากที่ต้องบอกลาอาชีพนี้ และตลอดช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ครูถูกตัดเงินเดือนมาโดยตลอด และค่าแรงที่ได้รับนั้นน้อยมากจนแทบจะหายนะ
“ไม่มีใครอยากหยุดงานในวันนี้ แต่มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง” เบาส์เทดกล่าว
ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงกว่า 10% ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ อังกฤษจึงได้เห็นการหยุดงานประท้วงหลายระลอกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจากหลากหลายสหภาพแรงงาน รวมถึงพนักงานด้านสาธารณสุข และการขนส่ง ในขณะที่ภาคเอกชนอย่างพนักงานคลังสินค้าของ Amazon และพนักงานไปรษณีย์ Royal Mail ก็ยังจับกลุ่มประท้วง เพื่อเรียกร้องค่าจ้างที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน
ในขณะที่ จิลเลียน คีแกน (Gillian Keegan) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษ ระบุว่า การยอมทำตามข้อเรียกร้องในการขึ้นค่าจ้าง รังแต่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเท่านั้น
สำหรับการนัดหยุดงานประท้วงในครั้งนี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า กลุ่มผู้ประท้วงประกอบด้วยครูในอังกฤษจำนวน 300,000 คน ที่สหภาพการศึกษาแห่งชาติ (NEU) ระบุว่าเคยถูกตัดเงินเดือนตามระยะเวลาจริงอย่างน้อย 23% ตั้งแต่ปี 2010 และครูในสกอตแลนด์อีกสองกลุ่ม
นอกจากนี้ ยังมีข้าราชการประมาณ 100,000 คนจากกว่า 100 หน่วยงาน รวมถึงครูสอนขับรถ หน่วยยามฝั่ง และเจ้าหน้าที่จากกรมแรงงานและเงินบำนาญ รวมถึงพนักงานมหาวิทยาลัยอีก 70,000 คน ซึ่งมีทั้งอาจารย์และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และยังมีคนขับรถไฟอีกประมาณ 100,000 คน ทำให้การนัดหยุดงานประท้วงในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในรอบ 10 ปีของอังกฤษ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส