รางวัลออสการ์ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า อะคาเดมี อวอร์ดส์ เป็นรางวัลที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย สถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences) เพื่อมอบให้แก่บุคคลากรที่สร้างสรรค์งานทางด้านศิลปะและเทคนิควิธีการต่าง ๆ ในวงการภาพยนตร์อเมริกันเป็นประจำในทุก ๆ ปี และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในอุตสากรรมภาพยนตร์ แต่ละรางวัลนั้น จะผ่านการตัดสินด้วยการลงมติโดยสมาชิกผู้ทรงเกียรติของสถาบัน ส่วนผู้ชนะรางวัลนั้นจะได้รับถ้วยรางวัลเป็นรูปปั้นสีทอง ผู้ออกแบบอ้างว่าเป็นการจำลองภาพลักษณ์ของอัศวินนักรบในสไตล์อาร์ตเดโก
วันนี้พิธีมอบรางวัลออสการ์ได้ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 95 แล้ว พิธีจะมีขึ้นในคืนวันที่ 13 มีนาคมนี้ ตามเวลาของทางสหรัฐอเมริกา พิธีมอบรางวัลปีนี้จะจัดกันที่ Dolby Theatre ในลอสแองเจลิส จิมมี่ คิมเมล (Jimmy Kimmel) พิธีกรชื่อดังจะรับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้รู้ผลกันแล้วว่า ปีนี้ภาพยนตร์เรื่องใด จะสามารถกวาดรางวัลออสการ์ไปได้มากที่สุด Everything Everywhere All at Once ในฐานะผู้ที่เข้าชิงมากที่สุด 11 รางวัล จะสามารถคว้าไปได้ครองทั้งหมดกี่รางวัล แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เรามาอ่านเกร็ดสาระน่ารู้เกี่ยวกับรางวัลออสการ์กันเพื่อเป็นสาระประดับสมองก่อนไปลุ้นพร้อมกันในเช้าวันอังคารที่ 14 มีนาคมนี้ ตามเวลาบ้านเรา
1.ชื่อจริงของพิธีมอบรางวัลนี้คือ “The Academy Award of Merit” แต่ทั่วโลกเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ออสการ์” ที่มาของชื่อนี้ ยังไม่มีใครฟันธงแน่ชัดว่าเป็นมาอย่างไร แต่มี 2 บุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นคนตั้งชื่อ “ออสการ์” ให้กับรางวัลนี้ คนแรกคือ เบ็ตตี้ เดวิส (Bette Davis) นักแสดงหญิงฮอลลีวูด ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานหญิงคนแรกของสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ ในปี 1941 เธออ้างว่าเธอเป็นคนตั้งชื่อ “ออสการ์” ให้กับรางวัลนี้ตามชื่อ ฮาร์มอนด์ ออสการ์ เนลสัน สามีคนแรกของเธอ
คนถัดมาที่อ้างว่าเป็นผู้ตั้งชื่อนี้ และเป็นที่มาที่ได้รับความเชื่อถือมากกว่าก็คือ มากาเร็ธ เฮอร์ริก (Margaret Herrick) เธอเคยเป็นผู้อำนวยการบริหารของสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ เฮอร์ริกอ้างว่าเธอเห็นถ้วยรางวัลนี้ครั้งแรกในปี 1931 เธอบอกว่าด้วยหน้าตารูปร่างของถ้วยรางวัลทำให้เธอนึกถึงคุณลุงออสการ์ของเธอ ที่มีชื่อจริงว่า ออสการ์ เพียร์ซ เธอเลยตั้งเป็นชื่อเล่นของถ้วยรางวัลนี้ และบรรดาสมาชิกก็เลยเรียกตามธอจนเรียกต่อ ๆ กันเป็นวงกว้าง และชื่อ “Oscar” ก็ถูกนำมาใช้เป็นทางการในปี 1939
2.ผู้ชนะรางวัลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ออสการ์ก็คือ ทาทัม โอ’นีล (Tatum O’Neal) เธอเป็นเจ้าของรางวัลนักแสดงสมทบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมจากหนัง Paper Moon (1973) ด้วยวัยเพียงแค่ 10 ปี
3.ผู้ชนะรางวัลที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ออสการ์ก็คือ แอนโธนี ฮอปกินส์ (Anthony Hopkins) คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนัง The Father (2020) ด้วยวัย 83 ปี
4.ตลอดระยะเวลากว่า 90 ปี ของการมอบรางวัลออสการ์นั้น เคยมีผู้ชนะได้คะแนนเสมอกันถึง 6 ครั้ง ต้องบอกให้ทราบก่อนว่ากติกาของออสการ์นั้น ถ้ามีผู้ชนะ 2 คน ที่ได้คะแนนต่างกันไม่เกิน 3 คะแนน ให้ถือว่าทั้งคู่เป็นผู้ชนะ โดยครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1932 เมื่อ เฟรดริก มาร์ช (Fredric March) จากหนัง Dr. Jekyll and Mr. Hyde และ วอลเลซ บีรี (Wallace Beery) จากหนัง The Champ ได้รับการประกาศชื่อเป็นผู้ชนะรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีนั้น จึงต้องมีการดูคะแนนโหวตที่แท้จริงกัน ผลปรากฏว่ามาร์ชได้คะแนนมากกว่าบีรีเพียงแค่ 1 โหวตเท่านั้น เฟรดริก มาร์ช ก็เลยได้รางวัลในปีนั้นไปครอง
หลังจากปี 1950 เป็นต้นมา ทางสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ก็เปลี่ยนกติกาใหม่ ในกรณีที่มีผู้ชนะที่คะแนนเท่ากันหรือต่างกันไม่ถึง 3 โหวต ก็ให้ถือว่ามีผู้ชนะรางวัลในปีนั้น 2 คน และให้ได้รางวัลทั้ง 2 คน
5.พิธีแจกรางวัลอะคาเดมีอวอร์ดส์ครั้งแรกนั้น จัดกันเมื่อปี 1929 เป็นพิธีที่จัดกันเป็นการส่วนตัว มีเฉพาะแขกผู้ได้รับเชิญจำนวน 270 ท่านเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมพิธี จนกระทั่งปี 1953 ถึงได้มีการถ่ายทอดสดพิธีมอบรางวัลทางโทรทัศน์ ปัจจุบันนี้ พิธีมอบรางวัลออสการ์ถึงได้รับความสนใจไปทั่วโลก มีการถ่ายทอดสดพิธีมอบรางวัลไปถึง 200 ประเทศ
6.ปีเตอร์ ฟินช์ (Peter Finch) จากหนัง Network (1976) และ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) จาก The Dark Knight (2008) เป็น 2 คนที่ชนะรางวัลทางด้านการแสดงภายหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว รางวัลของ ฮีธ เลดเจอร์ นั้นถูกส่งมอบให้ มาธิลดา ลูกสาวของเขาเป็นผู้เก็บรักษา
7.เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) ครองสถิตินักแสดงหญิงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มากที่สุดถึง 21 ครั้ง และสามารถคว้ารางวัลได้ถึง 3 ครั้ง เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงครั้งล่าสุด ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากหนัง The Post (2017) แต่เธอยังไม่สามารถครองสถิตินักแสดงหญิงผู้ชนะรางวัลออสการ์มากที่สุด เพราะสถิติยังตกเป็นของ แคทเธอรีน เฮปเบิร์น (Katharine Hepburn) ที่ชนะรางวัลได้ถึง 4 ครั้ง
8.ส่วนสถิติฝ่ายชายตกเป็นของ แจ็ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) เข้าชิงมากที่สุด เป็นจำนวน 12 ครั้ง และคว้ารางวัลไปได้สำเร็จ 3 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติที่เทียบเท่ากับ แดเนียล เดย์ ลูวิส (Daniel Day-Lewis) และ วอลเทอร์ เบร็นแนน (Walter Brennan)
9.จนถึงปัจจุบันนี้ มีหนังเพียงแค่ 3 เรื่อง ที่ครองสถิติคว้ารางวัลได้มากที่สุด 3 เรื่องดังกล่าวนี้คือ Ben-Hur (1959), Titanic (1997) และ The Lord of the Rings: The Return of the King (2003) ทั้งสามเรื่องสามารถคว้าไปได้ถึง 11 สาขา โดยเฉพาะ The Lord of the Rings: The Return of the King นี่สร้างสถิติที่น่าชื่นชม คือเข้าชิง 11 สาขา และชนะทุกสาขาที่เข้าชิง
10.เหตุที่รายชื่อผู้ชนะต้องอยู่ในซองจดหมายปิดผนึกเท่านั้น เพราะเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลในปี 1940 เมื่อหนังสือพิมพ์ The LA Times ตีพิมพ์รายชื่อผู้ชนะทั้งหมดของปีนั้น และหนังสือพิมพ์ถูกวางแผงในคืนนั้นก่อนหน้าที่พิธีมอบรางวัลจะเริ่มไม่นานนัก กลายเป็นว่าผู้ที่มาร่วมพิธีมอบรางวัลต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าใครเป็นผู้ชนะในแต่ละรางวัล ตั้งแต่นั้นทางคณะกรรมการก็ระมัดระวังเรื่องการเก็บงำข้อมูลเป็นความลับให้มากขึ้น ด้วยการบรรจุรายชื่อผู้ชนะลงในซองจดหมายปิดผนึกมิดชิด
11.บ็อบ โฮป (Bob Hope) นักแสดงตลก นักเต้น และพิธีกรชื่อดัง โฮปเป็นพิธีกรออสการ์ที่ได้รับความนิยมชื่นชอบที่สุด ทำให้เขาได้ทำหน้าที่นี้มากที่สุดถึง 19 ครั้ง ครั้งสุดท้ายในปี 1978 โฮปเสียชีวิตในปี 2003 ด้วยโรคปอดบวม ด้วยอายุที่ยืนยาวมาก 100 ปี พอดี
12.บุคคลที่เป็นเจ้าของรางวัลออสการ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ วอลต์ ดิสนีย์ (Walt Disney) เขาคว้ารางวัลในฐานะผู้อำนวยการสร้างเมื่อภาพยนตร์ของเขาได้รางวัล ไม่ว่าจะเป็นแอนิเมชัน ไลฟ์แอ็กชัน การ์ตูนสั้น หรือสารคดี รางวัลก็ตกเป็นของ วอลต์ ดิสนีย์ ซึ่งเขาคว้าไปทั้งหมด 22 ครั้ง และรางวัลเกียรติยศที่ทางสถาบันมอบให้เองอีก 3 ครั้ง จากการเข้าชิงทั้งหมด 59 ครั้ง ถ้านับย้อนไปในช่วงปี 1942 – 1963 นั้น วอลต์ ดิสนีย์ ได้รับรางวัลต่อเนื่องทุกปี
13.ผู้ชนะรางวัลออสการ์ทุกคนจะต้องเซ็นสัญญาข้อตกลงกับทาง สถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ ว่า “ห้ามขายรางวัลออสการ์ที่ได้รับ” ถ้ามีความประสงค์จะขาย ให้เสนอขายคืนให้กับทางสถาบันฯ ก่อน ในราคา 1 เหรียญสหรัฐฯ ถ้าผู้ชนะรายใดปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาดังกล่าว พวกเขาก็จะไม่ได้นำรางวัลกลับไป
14.ในปี 2002 พิธีมอบรางวัลยืดยาวเป็นประวัติการณ์ จบในเวลา 4 ชั่วโมง 23 นาที หลังจากปีนั้นทางผู้จัดจึงเพิ่มกติกาขึ้นมาใหม่ ด้วยการกำหนดให้ผู้ชนะรางวัลพูดขอบคุณได้ในเวลา 45 วินาที เท่านั้น ถ้าเลยจากนี้วงออเคสตร้าจะเล่นเพลงขึ้นมากลบเสียงทันที
15.ผู้ชนะรางวัลหลายคนจะพูดขอบคุณกันยืดยาวมาก บางคนมีกระดาษโน้ตเตรียมมาพร้อมว่าจะขอบคุณใครบ้าง แต่ก็มีผู้ชนะหลายคนที่พูดขอบคุณสั้น สั้นแบบทำเอาผู้เข้าร่วมพิธีอึ้งไปเหมือนกัน มี 2 คนที่ครองสถิติขอบคุณหลังได้รับรางวัลสั้นที่สุดคือ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก (Alfred Hitchcock) ผู้กำกับระดับตำนาน เขาขึ้นรับรางวัลกิติมศักดิ์ เออร์วิง จี.ธัลเบิร์ก ในปี 1968 หลังรับรางวัลเขาก็กล่าวว่า “ขอบคุณ ขอบคุณมากจริง ๆ”
อีกคนที่กล่าวได้สั้นมากก็คือ วิลเลียม โฮลเด็น (William Holden) เขาขึ้นรับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง Stalag 17 (1953) โฮลเด็นกล่าวหลังได้รับรางวัลว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ”
16.ไดแอน คีตัน (Diane Keaton) นักแสดงหญิงมากความสามารถ เป็นเจ้าของสถิติแปลก ๆ โดยบังเอิญ เมื่อเธอเป็นนักแสดงคนเดียวที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 4 ครั้งใน 4 ทศวรรษ ครั้งแรกจากเรื่อง Annie Hall (1977) ครั้งที่ 2 จากเรื่อง Lost (1981) ครั้งที่ 3 จากเรื่อง Marvin’s Room (1996) แและครั้งที่ 4 จากเรื่อง Something’s Gotta Give (2003) มีเพียงครั้งแรกเท่านั้นที่เธอคว้ารางวัลไปได้สำเร็จ
17.เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ก็เป็นเจ้าของสถิติที่ไม่เกี่ยวกับรางวัล เพราะเธอเป็นเจ้าของสถิติชุดที่ใส่มาร่วมงานมีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์พิธีมอบรางวัลออสการ์ ในปี 2013 นั้น ลอว์เรนซ์มาในชุดสีชมพูอมฟ้าของดิออร์ ที่มีราคาสูงถึง 4 ล้านเหรียญ
18.ไลซา มินเนลลี (Liza Minnelli) เป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่มีพ่อและแม่เป็นผู้ชนะรางวัลออสการ์ด้วยเช่นกัน ไลซา มินเนลลี คว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Cabaret (1972) ส่วน จูดี้ การ์แลนด์ (Judy Garland) แม่ของเธอนั้น ก็ได้รับรางวัลเกียรติยศจากสถาบันฯ ในปี 1939 และพ่อของเธอ วินเซ็นต์ มินเนลลี (Vincente Minnelli) ก็คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Gigi (1958)
19.จนถึงปีนี้ ยังไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหน ที่คว้าได้ทั้ง 4 สาขาการแสดงคือ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม มีที่เกือบไปมากสุด 2 เรื่องก็คือ A Streetcar Named Desire (1951) ที่ มาร์ลอน แบรนโด พลาดรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อีกเรื่องก็คือ Network (1976) เน็ด บีตตี้ พลาดรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
20.แคทริน บิเกโลว์ (Kathryn Bigalow) เป็นผู้กำกับหญิงคนแรกที่สามารถคว้ารางวัล ผู้กำกับยอดเยี่ยมไปได้ จาก The Hurt Locker (2009)