เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) โดย นายหลี่ เค่อเฉียง (Li Ke Qiang) นายกรัฐมนตรีของจีน ประกาศว่าเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้จะอยู่ที่ 5% ซึ่งเป็นความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หลังจากที่หยุดชะงักไปเนื่องจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เข้มงวด
นายกรัฐมนตรีของจีน กล่าวว่า มาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวคือการผลักดันการบริโภคภายในประเทศให้ใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มการจ้างงานเพื่อฟื้นฟูภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม นายหลี่ยอมรับว่าความเสี่ยงยังคงมีอยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์
ไอริส แพง (Iris Pang) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนแผ่นดินใหญ่ของไอเอ็นจี (ING) คาดการณ์ว่า รัฐบาลจีนมีเป้าหมายที่จะนำคนเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น 12 ล้านคนในปีนี้ ในขณะที่บัณฑิตจบใหม่จะมีจำนวนอยู่ที่ 11.58 ล้านคน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนดังกล่าวจะครอบคลุมจำนวนบัณฑิตจบใหม่ แต่คนบางกลุ่มอาจจะยังหางานทำได้ยากอยู่ดี
แพงระบุว่า ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2023 เนื่องจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชะลอตัว ซึ่งปัจจัยนี้ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยบางกลุ่มอาจประสบปัญหาในการหางานทำ แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของเศษรษฐกิจจีนก็ตาม
“สิ่งเหล่านี้จะทำให้ช่องว่างของความมั่งคั่งในจีนจะกว้างขึ้นอีกครั้ง และนี่ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจีนต้องการแน่ ๆ” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็นจีกล่าว
นอกจากนี้ ภายในการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีนยังมีการเปิดเผยร่างงบประมาณที่ระบุว่า รัฐบาลมีแผนเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมในปี 2023 อีก 7.2% หรือราว 1.55 ล้านล้านหยวน (7.7 ล้านล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้วที่ 7.1% อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ นับว่าเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่รัฐบาลจีนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการทหาร
โดยนายกรัฐมนตรีของจีนอธิบายถึงเหตุผลในการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จีนจะต้องพยายามปราบปรามและจำกัดวงของปัญหาที่เริ่มจะบานปลาย ซึ่งการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการทหารในครั้งนี้ได้สร้างความกังวลให้กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกครั้ง
ที่มา : Deutsche Welle
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส