หลังจากใช้เวลาในถ้ำมืด ๆ ที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก 70 เมตร อย่างยาวนานมา 500 วัน บีทริซ ฟลามีนี (Beatriz Flamini) หญิงชาวสเปนก็สามารถทำลายสถิติโลก ในการอยู่คนเดียวในถ้ำยาวนานที่สุด บีทริซออกจากถ้ำที่อยู่ทางตอนใต้ของสเปนเมื่อ 9:00 น. ของวันศุกร์ที่ 14 เมษายน ที่เพิ่งผ่านมานี้ เธอก็ถูกนำตัวเข้ารับการตรวจเช็กร่างกายทันทีจากแพทย์และนักจิตวิทยา แต่แทนที่เธอจะได้รับการพักผ่อน ฟลามีนีกลับต้องเจอกับงานแถลงข่าวยาวนาน 50 นาที
“ฉันตั้งใจไว้ว่าพอออกมาก็จะไปอาบน้ำสักหน่อย ฉันไม่คิดมาก่อนจริง ๆ ว่าจะมีคนให้ความสนใจฉันมากขนาดนี้”
ฟลามีนีแม้จะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็เป็นนักกีฬาผู้มากความสามารถ และนักปีนเขาผาดโผน ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชน ฟลามีนีจึงมั่นใจว่าเธอพร้อมที่จะเรียนรู้ประสบการณ์แปลกใหม่นี้ และศึกษาว่าร่างกายของมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถรับมือกับความโดดเดี่ยวและขาดการติดต่อจากโลกภายนอกได้อย่างไร ฟลามีนีเริ่มเข้าไปอยู่ในถ้ำสตีเจียน ที่อยู่นอกเมืองเกรนาดา ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ปี 2021 เธอเข้าไปได้ 3 เดือนก่อนที่รัสเซียจะเริ่มโจมตียูเครน ไม่ได้รับรู้ถึงการสิ้นสุดของโควิด-19 ไม่ได้รับรู้ถึงการสวรรคตของพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 เธอเข้าไปตอนอายุ 48 และกลับออกมาตอนอายุ 50 เธอฉลองวันเกิดตัวเอง 2 ครั้ง เพียงคนเดียวภายในถ้ำ แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟลามีนีออกมานอกถ้ำเป็นเวลา 8 วัน เพื่อรอการซ่อมเราเตอร์ที่ใช้สำหรับส่งภาพและเสียงในการสื่อสารกับทีม แต่ช่วงนั้นเธอก็จะพักในเต็นท์อยู่แค่คนเดียว
ในด้านความปลอดภัยนั้น แม้จะไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกตามเงื่อนไขการทดลองนี้ แต่ฟลามีนีก็ได้รับการติดตามผลโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญทางด้านถ้ำ ผู้ฝึกสอนทางกายภาพ จากมหาวิทยาลัยอัลมีเรีย, มหาวิทยาลัยเกรนาดา และมหาวิทยาลัยมูร์เซีย ทั้งหมดนี้เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกว่า การถูกแยกตัวจากสังคม และความสับสนต่อการรับรู้วันเวลานั้น จะส่งผลต่อรูปแบบการทำงานของสมองและการกินอยู่หลับนอนอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะติดต่อกับฟลามีนีทางข้อความเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ก่อนเข้าไปในถ้ำ ฟลามีนีได้กำชับกับทีมงานว่า เธอไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก ไม่ต้องบอกอะไรกับเธอเลย ต่อให้มีญาติสนิทมิตรสหายเสียชีวิตก็ตาม
“ทุกคนที่รู้จักและรักฉัน ต่างเคารพกติกาในเรื่องนี้ ฉะนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
ฟลามีนีบอกกับนักข่าวว่าหลังจากผ่านไปได้ 65 วัน เธอก็เลิกนับวันเวลา เริ่มไม่รู้คืนรู้วันแล้ว นักข่าวก็ถามข้อสงสัยว่า เธอมีวิธีการอย่างไรในการดูแลสุขภาพจิตตัวเองให้ปกติได้ทั้งที่ต้องอยู่ในถ้ำคนเดียวยาวนานขนาดนั้น ฟลามีนีบอกว่าเพราะเธอมีประสบการณ์ที่ยาวนาน และมีการเตรียมพร้อมด้านสภาพจิตก่อนเข้าไปอยู่ในถ้ำ “ฉันอยู่กับตัวเองได้ดีมาก ๆ “
ที่เธอตอบแบบนั้น ก็เพราะว่าตลอดเวลาที่อยู่ในถ้ำนั้น เธอใช้วิธีพูดกับตัวเองในใจ ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา นั่นก็เพราะเธอยึดถือคติว่าถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่บ้านของเธอ ซึ่งเธอจำเป็นต้องให้ความเคารพสถานที่ และเคล็ดลับอีกอย่างคือ การมีวินัยต่อตนเอง
“แน่นอนที่ว่าช่วงที่อยู่ในถ้ำนั้น มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และช่วงเวลาที่สวยงาม ฉันเผชิญทั้งสองอย่างตลอดภารกิจที่ฉันจะต้องอยู่ในถ้ำให้ได้ครบ 500 วัน”
ฟลามีนีเล่าต่อว่า เธอใช้เวลาแต่ละวันที่ผ่านไปอย่างสงบ ด้วยการอ่านหนังสือ วาดภาพ จดบันทึก ถักนีตติ้ง หาความสนุกให้กับตัวเองในทุก ๆ วัน บางวันเธอก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองที่คิดถึงความอร่อยของมันฝรั่งและไก่ย่างขึ้นมา
“เมื่อฉันได้อยู่ในที่ที่ฉันต้องการแล้ว ฉันก็จะอุทิศตัวเองให้กับมัน ฉันทำอาหารบ้าง วาดภาพบ้าง ทุกอย่างที่ทำฉันต้องมีสมาธิกับมัน แต่ถ้าฉันเริ่มเสียสมาธิ ฉันจะใช้วิธีบิดข้อเท้า แค่นั้นพอ เพราะถ้าฉันเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาเมื่อใด ก็เท่ากับว่าเป็นอันจบสิ้นภารกิจนี้ พวกเขาก็จะมานำตัวฉันออกไป ฉันไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น”
ด้วยเหตุนี้ ฟลามีนีจึงต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอ เธออ่านหนังสือไป 60 เล่ม ใช้กล้อง 2 ตัวบันทึกเหตุการณ์ช่วงที่อยู่ในถ้ำเพื่อนำไปทำเป็นสารคดี ที่จะออกมาภายหลัง ฟลามีนีเล่าว่า มันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่บ้าง จนเธอแทบจะกดปุ่มนิรภัยแล้วเกือบจะยกเลิกภารกิจนี้กลางคันนี้เสียแล้ว มันเป็นตอนที่เธอต้องเผชิญกับฝูงแมลงวัน
“แมลงวัน! แมลงวัน! แมลงวัน! แมลงวันมันบุกรุกพื้นที่ฉัน พวกมันเข้ามาวางไข่กัน ฉันไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วตอนนั้น มันมาเกาะเต็มเนื้อเต็มตัวฉันไปหมด มันไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายฉันแน่ ๆ “
พอถึงช่วงที่ได้เวลาออกจากถ้ำ ฟลามีนีเล่าว่าเธอหงุดหงิดเล็กน้อย
“ตอนนั้นฉันกำลังหลับอยู่ หรือกำลังจะหลับอยู่นี่แหละ ก็เป็นช่วงที่พวกเขาลงมารับฉันพอดี ฉันก็ตกใจนึกว่าเกิดเหตุอะไร พอเขาบอกว่าครบเวลาแล้ว ฉันก็ตอบไปว่า ‘ครบแล้วเหรอ ไม่จริงง่ะ’ ฉันยังอ่านหนังสือไม่จบเลย”
ฟลามินี่ฟังอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเล่าถึงความรู้สึกของเธอเมื่อถึงเวลาออกจากถ้ำ “ฉันกำลังหลับ – หรืออย่างน้อยก็กำลังหลับ – ตอนที่พวกเขาลงมาหาฉัน … ฉันคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ฉันพูดว่า: ‘แล้วเหรอ? ไม่มีทาง ‘ ฉันยังอ่านหนังสือไม่เสร็จ “
วินาทีที่เธอก้าวออกมาจากถ้ำ ฟลามีนีก็ไม่แสดงอาการตื่นเต้นอะไรกับแสงแดดในช่วงฤดูใบไม้ผลิเอาเสียเลย
“ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยตอนที่ได้เห็นแสงสว่าง เพราะฉันรู้สึกว่าฉันก็แค่เข้าไปอยู่ในนั้นเฉย ๆ ดั้งนั้นฉันจึงไม่ได้รู้สึกคิดถึงดวงอาทิตย์และแสงแดดในโลกภายนอกนี้แต่อย่างใด นี่ฉันเรียนตามตรงเลยนะ ฉันจะไม่ให้โกหก”
และในช่วงถามตอบกับนักข่าวนี้ล่ะ ก็มีนักข่าวท่านหนึ่งที่ยิงคำถามได้แทนใจทุกคนเลย เมื่อเขาถามว่า ฟลามีนีจัดการเรื่องขับถ่ายอย่างไร?
ฟลามีนีไม่แปลกใจเลยที่เธอจะต้องเจอกับคำถามนี้ แล้วเธอก็ตอบได้อย่างไม่เคอะเขิน ฟลามีนีอธิบายว่าในถ้ำนั้นมีจุดรวบรวมของเสีย พอเธออึไป 5 ครั้ง เธอก็จะนำไปทิ้งที่จุดนั้น
“ไม่มีทางเลือกอื่น ขีดจำกัดของฉันคือ 5 ครั้งเท่านั้น แล้วฉันก็ต้องเอาไปทิ้ง”
นักข่าวถามถึงความรู้สึกที่ไม่ได้อาบน้ำมา 500 วัน
“ตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้อาบน้ำ แต่ด้วยความที่ฉันเป็นนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมนะ ให้ฉันเข้าไปอีก 500 วันก็ยังไหวนะ”
การสัมภาษณ์ครั้งนี้จบด้วยคำตอบที่ดุเด็ดเผ็ดมัน ทำเอาผู้ตั้งคำถามอึ้งไปเลย เมื่อหลายคนสังเกตอากัปกิริยาของฟลามีนีขณะที่เธอก้าวออกมาจากถ้ำว่าเธอมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสดูมีความสุขอย่างมาก
“คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อคุณสามารถเติมเต็มความฝันตัวเองได้สำเร็จ ?”
“อ้าว จะให้ฉันเดินร้องไห้ออกมาเหรอ ?”
ฟลามีนีตอบอย่างชัดเจน
ขณะนี้ สถิติโลกที่กินเน็สบุ๊กบันทึกไว้ ในฐานะ “บุคคลที่สามารถมีชีวิตรอดจากการติดอยู่ในพื้นที่ใต้ดินยาวนานที่สุด” เป็นของชาวเหมืองชาวชิลี และ โบลิเวียน 33 คน ที่ประสบอุบัติเหตุต้องติดอยู่ในเหมืองลึก 2,257 ฟุต ยาวนานเป็นเวลา 69 วัน เมื่อปี 2010 บีทริซ ฟลามินี จะสามารถทำลายสถิติเดิมได้หรือไม่นั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงาน ก่อนที่จะมีการประกาศอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
ที่มา : NBCnews theguardian