ประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ผู้นำแห่งสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เปิดเผยผ่านทางทวิตเตอร์เมื่อคืนวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) ระบุว่า หลังจากการหารือทางโทรศัพท์กับนายเควิน แมคคาร์ธี (Kevin McCarthy) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เป็นเวลาราว 90 นาที ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็สามารถตกลงขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ได้สำเร็จ
ข้อตกลงดังกล่าวลุล่วงอย่างเฉียดฉิว ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่มีเงินสดเพื่อชำระหนี้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเดิมเพดานหนี้สหรัฐฯ อยู่ที่ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นการยุติการเจรจาที่หาทางออกไม่ได้มานานนับเดือน
อย่างไรก็ตาม การขยายเพดานหนี้ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส โดยรายงานข่าวจากรอยเตอร์สระบุว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนยืนกรานว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงดังกล่าวและพยายามจะโหวตคว่ำการขยายเพดานหนี้ ในขณะที่ นายแมคคาร์ธี ยืนยันว่า 95% ของสมาชิกพรรครีพับลิกันยืนยันว่าพวกเขาจะสนับสนุนข้อตกลงนี้
ปัจจุบัน แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะเป็นรัฐบาล แต่พรรครีพับลิกันถือครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร คือ 222 – 213 ขณะที่พรรคเดโมแครตครองเสียงวุฒิสมาชิกมากกว่า คือ 51 – 49 และด้วยตัวเลขที่ใกล้เคียงกันนี้ ทำให้การสนับสนุนกฎหมายใด ๆ จำเป็นต้องมีตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหรือโน้มน้าว เพื่อให้ได้เสียงที่มากพอในการผ่านกฎหมาย
สำหรับรายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าว เป็นการขยายเพดานหนี้ออกไปอีก 2 ปี แต่ในระหว่างนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง เช่น การเรียกคืนงบประมาณกองทุนโควิดที่ยังไม่ได้มีการใช้จ่าย, การเพิ่มข้อกำหนดสำหรับโครงการสวัสดิการด้านอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่ยากจน, ทุนสนับสนุนการรักษาพยาบาลแก่ทหารผ่านศึก เป็นต้น
ตามปกติแล้วรัฐบาลสหรัฐฯ จะกำหนดเพดานการกู้ยืมเงินอยู่ที่ 120% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจประจำปีของประเทศ ซึ่งหากรัฐบาลสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ก็อาจทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและเกิดผลกระทบไปยังตลาดทุนทั่วโลก
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส