‘Eras Tour’ ทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) นับว่าเป็นกระแสที่คนทั่วโลกพูดถึงกันเป็นอย่างมาก ว่ากันว่านี่น่าจะเป็นคอนเสิร์ตระดับ ‘ปรากฏการณ์’ ที่สามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในหลายประเทศให้เฟื่องฟูขึ้นได้เลยทีเดียว
ณ ตอนนี้ Eras Tour กำลังจัดแสดงอยู่ในสหรัฐอเมริกา และจะจัดต่อเนื่องไปยังฝั่งยุโรปและเอเชีย (เอเชียจัดแค่ที่ญี่ปุ่นกับสิงคโปร์) ซึ่งว่ากันว่า นี่น่าจะเป็นทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมดนตรีที่ทำรายได้ทะลุหลัก 1,000 ล้านเหรียญ และยังไม่หยุดแค่นั้น ประเมินคร่าว ๆ ว่าน่าจะไปจบที่ 1,400 ล้านเหรียญเลยทีเดียว โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นแค่ ‘ตัวเลขขั้นต่ำ’ ด้วยนะ
นอกจากอุตสาหกรรมคอนเสิร์ตที่ได้อานิสงก์ไปเต็ม ๆ แล้ว ภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน ทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก ผู้คนต่างแย่งกันกดบัตรเอาเป็นเอาตาย แม้คอนเสิร์ตจะไม่ได้มาจัดที่ประเทศตัวเองก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้กดบัตรได้ก็พอ ทำให้ ‘Swifties’ บางคน ถือโอกาสไปดูคอนและไปเที่ยวต่างประเทศด้วยเลยในตัว
จากแหล่งข่าวบอกว่าแม้แต่ในสหรัฐฯ เอง เหล่าสาวกก็มักเลือกเดินทางข้ามรัฐ เพื่อไปชมคอนเสิร์ตเป็นเวลาสัก 3 ชั่วโมง เวลาที่เหลือก็เอาไปเที่ยวเมืองนั้น ๆ แทน ซึ่งสำนักข่าว NY Post นิยามการท่องเที่ยวแบบนี้ให้ว่าเป็นปรากฏการณ์ ‘Taylor Swift Economy’
ตัวเลขข้างต้นที่บอกไว้ว่าทัวร์ดังกล่าวจะทำตัวเลข ‘ขั้นต่ำ’ ได้สูงถึง 1,400 ล้านเหรียญนั้นก็ยังเป็นเพียงตัวเลขจากราคาตั๋วที่ขายกันปกติ ทว่าราคาจริงที่ผู้ชมจ่ายเงินซื้อตั๋วคอนเสิร์ตนั้นสูงกว่านี้มาก เพราะมีการโก่งราคาค่าตั๋ว เช่น ราคาเฉลี่ยปกติจะอยู่ที่ 253 เหรียญ แต่ก็มีคนเอาไปขายแบบอัปราคาไปเป็นหลักพันเหรียญ ซึ่งเรื่องที่แปลกก็คือเหล่าสาวกยอมเสียเงินซื้อ (แบบโก่งราคา) แต่โดยดี เพียงเพื่อให้ได้ไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินคนโปรด
นอกจากนี้ ทุกสุดสัปดาห์ เมืองที่เทย์เลอร์จะไปจัดแสดงมักเต็มไปด้วยเหล่านักท่องเที่ยว ทำให้หลายอุตสาหกรรมถึงกับยิ้มแก้มปริ ทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรมหรือการบิน ที่มีคนจองแน่นเอี้ยด ส่งผลดีไปยังธุรกิจในท้องถิ่นด้วย ทั้งร้านอาหารและร้านขายของในท้องถิ่น นี่ยังไม่นับรวมการที่เหล่า Swifties จะแห่กันควักเงินก้อนโตเพื่อแต่งตัวตามธีมไปดูคอนเสิร์ตด้วย
กลุ่มวิจัยออนไลน์ Questionpro เผยข้อมูลออกมาว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ได้ประโยชน์จาก Eras Tour ในครั้งนี้จะสูงถึง 5,000 ล้านเหรียญในแต่ละเมืองที่เธอไปโชว์ ซึ่งมันจะเป็นตัวเลขที่สูงกว่า GDP ของหลายประเทศด้วยซ้ำ
แต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศไทยยังคงไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางของคอนเสิร์ตรอบนี้ มีเพียงสิงคโปร์ที่ได้เป็น ‘The Only Stop in Southeast Asia’ แน่นอนว่างานนี้สิงคโปร์รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ทั้งเงินสะพัดอันมหาศาลและยังได้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ปรากฏการณ์คอนเสิร์ต’ ที่ทั่วโลกจับตามองอีกด้วย
ที่มา: NY Post, Variety, WSJ, Bloomberg
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส