หลังรัฐบาลอินเดียประกาศห้ามส่งออกข้าวทุกชนิด เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ยกเว้นข้าวบาสมาติอนุญาตให้ส่งออกได้ ส่งผลให้ตลาดข้าวโลกอยู่ในภาวะปั่นป่วน เพราะอินเดียเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า หลังอินเดียแบนการส่งออกข้าวทำให้ราคาข้าว พุ่งขึ้นทันที และหลายประเทศก็รอดูสถานการณ์ราคาข้าว ทำให้ตลาดค้าข้าวโลกหยุดชะงัก ส่วนประเทศไทยราคาข้าวเปลือกก็ขยับสูงขึ้น

เมื่อราคาข้าวเปลือกในประเทศปรับตัวสูง ก็ส่งผลต่อข้าวสารบรรจุถุงที่ผู้บริโภคต้องซื้อไปรับประทาน ที่มีแนวโน้มที่จะปรับราคาขึ้น เพราะข้าวสารถือเป็นต้นทุนวัตถุดิบข้าวเพื่อมาสีแปรและบรรจุถุง เนื่องจากข้าวสารที่อยู่ในสต็อกเก่าหมดแล้ว ขณะที่ข้าวสารล็อตใหม่มีราคาแพงขึ้นมาก ซึ่งราคาข้าวล่าสุดราคาข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นอีก โดยข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 15,000-16,900 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเจ้า 12,000-12,500 บาทต่อตัน

ด้านนายยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า ขณะนี้ต้นทุนข้าวสารเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะข้าวขาว แต่สมาคมฯ และสมาชิกจะตรึงราคาอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค ที่ผ่านมาราคาข้าวสารปรับตัวสูงขึ้นจากอินดียแบนส่งออกข้าวและเรื่องปัญหาเอลนีโญ ส่งผลต่อต้นทุนที่ขึ้นไปสูงมาก โดยตัวข้าวสารซึ่งมีสัดส่วนในต้นทุนมากถึง 80% ราคาเพิ่มขึ้น กิโลกรัมละ 4 บาท
ขณะที่นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้หารือกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และสมาคมโรงสีข้าวไทย เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาข้าวสารบรรจุถุง โดยกรมได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการข้าวถุงตรึงราคาจำหน่าย และไม่ปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

แม้กรมการค้าภายในจะขอความร่วมมือผู้ประกอบการเพื่อตรึงราคาข้าวถุง แต่ในความเป็นจริงราคาข้าวสารบรรจุถุงบางรายได้มีการปรับขึ้นไปแล้วเนื่องจากหมดโปรชันและข้าวสารในสต๊อกเก่าหมดแล้ว โดยคาดว่าข้าวสารบรรจุถุงขนาด 5 ก.ก.จะปรับขึ้นถุงละ 30 บาทหรือเฉลี่ย 6 บาทต่อก.ก.

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส