เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคเปิดเวทีรับฟังความเห็นสมาชิก หลังจากกระทรวงมหาดไทยปรับหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่ของกระทรวงมหาดไทยที่เผยแพร่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นการปรับเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ให้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพว่า “เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามที่กฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด”
นายนิมิตร์ เทียนอุดม รองประธานสภาผู้บริโภค ได้แสดงความคิดเห็นคัดค้านการเปลี่ยนแปลงผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุดังกล่าว และถือว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง หลังจากที่พัฒนาการของเบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิที่ได้รับกันถ้วนหน้าตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 โดยไม่มีเงื่อนไขหรือคุณสมบัติด้านรายได้มากำหนด
นายนิมิตร์ยังระบุอีกว่า เบี้ยผู้สูงอายุควรจะเป็นสิทธิพื้นฐานถ้วนหน้าเท่ากับสิทธิของผู้บริโภค แต่การปรับเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทยที่จะนำรายได้มาเป็นเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถือเป็นการถอยหลังลงคลอง เนื่องจากได้มีการจ่ายแบบถ้วนหน้ามาแล้วในปี 2552 สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่มีเกณฑ์เรื่องรายได้
ในขณะที่ ผศ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า หลักประกันรายได้ของประชาชนที่เป็นผู้สูงอายุที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเห็นว่ามีความสำคัญ คือ เรื่องของการมีงานทำ เพราะคนอายุ 60 ปี สามารถทำงานได้ รวมไปถึงเงินอุดหนุนที่เพียงพอในการดำรงชีพของผู้สูงอายุ และการเข้าถึงบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐสำหรับทุกคน
ทั้งนี้ การสนับสนุนรายได้ของผู้สูงอายุควรจะเป็นสิทธิถ้วนหน้า ไม่มีเกณฑ์เรื่องรายได้และต้องผลักดัน คือ การทำให้การจ่ายเบี้ยยังชีพถ้วนหน้าเป็นกฎหมายบำนาญพื้นฐาน เพื่อสร้างหลักประกันสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุ
ทางด้าน ดร.กติกา ทิพยาลัย นักวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นมากเกือบ 10% การจัดสวัสดิการในรูปแบบบำนาญประชาชนถ้วนจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม และมีผุ้สูงอายุจำนวนไม่มากนักที่มีเงินออมที่ใช้ได้เพียง 1 ปี
ดังนั้น การจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุควรจะเป็นการจ่ายถ้วนหน้า หรือการตั้งกองทุนบำนาญประชาชนในอนาคตจะช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้ โดยอัตราที่จะสามารถให้ดำรงชีพอยู่ได้ต้องมีเงินจำนวนดังกล่าวต่ำกว่าเส้นความยากจน 2,800 บาท หรือระดับ 3,000 บาท ในกลุ่มที่ไม่มีระบบบำนาญหรือมีสิทธิจากสวัสดิการอื่น
ดร.กติกา กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดสวัสดิการบำนาญแบบถ้วนหน้ายังเกิดผลกระทบด้านบวกในมุมมองเศรษฐกิจ เพราะเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุส่วนใหญ่นำไปใช้ในการบริโภค จึงถือว่ากระตุ้นการผลิตทางอ้อม และผู้สูงอายุพึ่งพิงตัวเองได้ไม่ต้องพึ่งพิงลูกหลาน ส่งผลดีต่อประชากรวัยแรงงาน โดยคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาครัฐจะได้กลับมาในรูปแบบภาษีเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า และหรือประมาณ 600,000 ล้านบาทในแต่ละปี
ส่วนการจ่ายบำนาญประชาชนจะกระทบภาระการคลังหรือไม่ ดร. กติกา กล่าวว่า ขณะนี้เบี้ยบังชีพผู้สูงอายุ 11 ล้านคน รัฐจ่ายงบประมาณ 80,000 ล้านบาท ขณะที่บำนาญราชการ 800,000 คน รัฐต้องจ่าย 300,000 ล้านบาท แต่หากมีกองทุนบำนาญประชาชน 3,000 บาท รัฐต้องใช้งบประมาณ 400,000 ล้านบาท ถือว่าไม่มากเกินไปในการสร้างหลักประกันให้กับผู้สูงอายุและไม่เป็นภาระทางการคลังด้วย
นอกจากนี้ ดร. กติกา ยังเห็นว่า รายได้ที่จะเข้ามาที่กองทุนบำนาญ เพื่อจ่ายสวัสดิการให้กับผุ้สูงอายุมาจากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้าที่ฟุ่มเฟือยไม่ใช่สินค้าจำเป็น หากรัฐเก็บภาษีเพิ่ม 1% จะมีรายได้เพิ่ม 70,000 – 100,000 ล้านบาท
“กรมสรรพสามิตสามารถนำเงินสมทบเข้ากองทุนฯ ได้เช่นกัน โดยสามารถขยายฐานภาษีในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ความหวาน ความเค็ม ภาษีสุขภาพ เราขยายฐานภาษีสมทบเข้ากองทุนบำนาญ นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างในประเทศชิลี ที่เก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูง ตามหลักการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข มาสมทบกองทุนบำนาญเพื่อลดความเหลื่อมล้ำลงไปได้ ดังนั้น การตั้งกองทุนบำนาญประชาชนจะไม่กระทบภาระการคลัง หากมีการจัดระบบภาษีและการจัดเก็บรายได้ใหม่” ดร. กติกา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายหลังระดมความคิดเห็นสมาชิกสภาผู้บริโภคเห็นว่าควรจะต้องมีระบบบำนาญแบบถ้วนหน้า โดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สมาชิกสภาผู้โภคส่วนใหญ่เห็นว่าควรจะมีการจัดทำนโยบายสวัสดิการบำนาญประชาชนแบบถ้วนหน้า 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อคุณภาพชีวิตของผุ้สูงอายุ
นอกจากนี้ ยังเห็นว่ากระทรวงมหาดไทยควรจะยกเลิกเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ใช้รายได้เป็นเกณฑ์พิจารณา แต่ควรจ่ายผู้สูงอายุทุกคนแบบถ้วนหน้า ดังนั้น สภาผู้บริโภคจะนำเรื่องเสนอคณะกรรมการนโยบายของสภาผู้บริโภค เพื่อ จัดทำข้อเสนอทางนโยบายเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส