สำนักข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากทีมทำงานของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ซึ่งพรรคเพื่อไทยชี้แจงว่า เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่านการใช้จ่ายใกล้บ้าน โดยจะนำบล็อกเชนมาใช้เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง เพื่อกำหนดเงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัล ทำให้สามารถตรวจสอบการใช้จ่ายได้นั้น

โครงการดังกล่าวคาดว่าต้องใช้วงเงินประมาณ 560,000 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในช่วงแรกจะมาจากการยืมเงินรัฐวิสาหกิจ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเงินจากธนาคารของรัฐ เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ทันที ในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ยังไม่ถูกบังคับใช้ โดยรัฐบาลจะตั้งงบเพื่อชดใช้คืนให้ในภายหลัง

ทั้งนี้ รัฐบาลมีกรอบวงเงินที่สามารถใช้ได้ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่กำหนดว่า ยอดคงค้าง หรือภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่าย หรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการ ต้องไม่เกิน 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว แหล่งข่าวชี้แจงว่าสามารถกระทำได้ เนื่องจากมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ว่า เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ, เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย การก่อวินาศกรรม เป็นต้น

สำหรับการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แหล่งข่าวชี้แจงว่า จะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังของธนาคารกรุงไทย ซึ่งการใช้งานคล้ายกับโครงการคนละครึ่งในช่วงที่ผ่านมา โดยคณะทำงานได้มีการเชิญผู้บริหารธนาคารกรุงไทยเข้าหารือแนวทางแล้ว และจะมีการเพิ่มฟังก์ชันเข้าไปในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ไม่ใช่การนำบล็อกเชนมาใช้เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลัง เพื่อกำหนดเงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัลตามที่ได้หาเสียงเอาไว้

ทั้งนี้ การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะถูกมอบให้ประชาชนในงวดเดียวในรูป e-Money โดยกำหนดให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นเศรษฐกิจทันที โดยในช่วงแรกนั้น ผู้ประกอบการที่เป็นผู้รับเงินจะไม่สามารถเบิกเป็นเงินสดได้ แต่ต้องนำเงินที่ได้มาไปใช้จ่ายต่อ เพื่อให้เกิดพายุหมุนในระบบเศรษฐกิจ

ยกตัวอย่าง ผู้ประกอบการข้าวหนียวหมูปิ้ง เมื่อได้รับ e-Money เข้าแอปพลิเคชันถุงเงิน จะไม่สามารถเอาเงินสดออกมาได้โดยตรง แต่ต้องนำเงินที่ได้มาไปใช้จ่ายต่อ เช่น ซื้อวัตถุดิบเข้าร้าน เพื่อให้เงินหมุนในระบบหลาย ๆ รอบ และเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

สำหรับการใช้งานในส่วนของประชาชนทั่วไป แหล่งข่าวชี้แจงว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องการให้โครงการแจกเงินดิจิทัลเริ่มต้นภายในเดือนมีนาคม 2567 หรือช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนจำนวนมากจะเดินทางกลับภูมิลำเนา เนื่องจากเงื่อนไขหนึ่งของโครงการแจกเงินดิจิทัล คือ ต้องใช้จ่ายกับร้านค้าที่อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร นับจากที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของประชาชน

ดังนั้น การเริ่มโครงการในช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ไม่ใช่การกระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาขยายรัศมีเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ารัศมี 4 กิโลเมตรนั้นแคบเกินไป และบางพื้นที่ไม่มีร้านค้าเลยหรือมีน้อยมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคของประชาชนในการใช้เงินดิจิทัลในพื้นที่ต่างจังหวัด

ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ KKP Research ของกลุ่มธุรกิจเกียรตินาคินระบุว่า หากโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท สามารถเกิดขึ้นได้จริง คาดว่าจะทำให้ GDP ในปี 2567 เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 1 – 1.2% จากประมาณการในปัจจุบัน

ล่าสุด นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย จะมีการนำบล็อกเชนมาใช้เป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังอย่างแน่นอน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลและวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ให้กับประเทศ

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส