KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 เหลือ 2.4% และปี 2567 เป็น 3.7% หากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต สามารถดำเนินการได้ และ 2.9% กรณีไม่สามารถดำเนินการได้

KKP Research มีมุมมองว่าตัวเลข GDP ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยโตในระดับค่อนข้างต่ำคือ 1.5% ในขณะที่ GDP ในฝั่งการอุปสงค์โตได้ถึง 5.6% ซึ่งความแตกต่างกันค่อนข้างมากของ GDP ฝั่งอุปสงค์และอุปทานนำมาสู่ข้อสงสัยของหลายฝ่ายว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรกันแน่ ?

เศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอกว่าที่เห็น

KKP Research มองว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอกว่าที่ตัวเลขแสดง เนื่องจากการบริโภคของ GDP ไตรมาส 3 โตสูงถึง 8% ท่ามกลางภาวะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและภาคธนาคารชะลอการปล่อยกู้สินเชื่อภาคครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาประกอบกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่น ๆ แล้ว การใช้จ่ายในประเทศน่าจะโตได้น้อยกว่าตัวเลขดังกล่าวมากภายใต้ 5 ข้อสังเกต ดังนี้

1. ยอดขายบ้านและรถยนต์ปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเกิดจากทั้งรายได้ในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ช้า การปล่อยกู้ของสินเชื่อภาคธนาคารที่ตึงตัวขึ้นมาก และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วทำให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น

2. ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาอ่อนแอต่อเนื่องสวนทางกับเลข GDP ในฝั่งการใช้จ่าย โดยในช่วงที่ผ่านมา ทิศทางกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างแย่ และมีจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการรายได้ลงมากกว่าจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการรายได้ขึ้น ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ลดลงมากว่า 10% จากต้นปี 2566 ซึ่งลดลงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในช่วงที่ชะลอตัวมากกว่าฟื้นตัวได้ดี

3. อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจดทะเบียนมีทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยชะลอตัวลงทั้งในกลุ่มของสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงะมีแนวโน้มปรับเป็นติดลบในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

4. สินเชื่อในภาคธนาคารหดตัวสะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์มีมุมมองที่ไม่ดีนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า จึงชะลอการปล่อยกู้ลง

5. ผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหดตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในปีภาษีที่ผ่านมา ภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งควรสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ปรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ลดลงแล้ว ซึ่งผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

โดยทั้ง 5 ข้อสังเกตนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจในประเทศไม่น่าจะขยายตัวได้ดีมากนัก โดยทั้งการบริโภคสินค้าคงทน สินค้าไม่คงทน และการลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งหมด

เงินดิจิทัลหนุน GDP ปี 2567 โต 3.7%

แม้ว่า KKP Research จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอและไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีมากนัก อย่างไรก็ตาม ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 หรือ GDP เพิ่มขึ้นเป็น 3.7% จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หรือโครงการดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet

) ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ 0.8% ของ GDP โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้า

2. การท่องเที่ยวที่ยังคงฟื้นตัวได้ โดยคาดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 35 ล้านคนในปี 2567

3. การส่งออกที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตามวัฏจักรการผลิตและการส่งออกโลก

อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่ายังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่รัฐบาลอาจไม่สามารถผลักดันโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เพราะข้อจำกัดด้านการคลังและกฎหมาย ในกรณีที่ไม่รวมผลจากโครงการดังกล่าวคาดว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงเหลือ 2.9% ในปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการเติบโตในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

แจกเงินกระตุ้นการบริโภคได้ชั่วคราว

KKP Research ประเมินว่าหากโครงการดิจิทัล วอลเล็ต สามารถออกใช้ได้ตามที่รัฐบาลแถลง จะมีต้นทุนสูงถึง 500,000 ล้านบาท ในขณะที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น แต่ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับต้นทุน โดยประเมินตัวคูณทางการคลังที่ 0.3 เท่า ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ GDP ประมาณ 0.8% ในปี 2567

ทั้งนี้ KKP Research มองว่าผลดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้าหากมีการออกใช้จริง และเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงอย่างมากหลังจากนั้น เนื่องจากสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ไทยแข่งขันในเวทีโลกได้ยากขึ้น มากกว่าประเด็นการลดลงของรายได้ชั่วคราว

นอกจากนี้ ผลกระทบด้านลบยังรวมไปถึงต้นทุนทางอ้อมต่อเศรษฐกิจที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นจากการที่รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เพิ่มอีกด้วย

เศรษฐกิจโลกยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย

สำหรับเศรษฐกิจโลกนั้นคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอตัว แต่น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องในปีหน้า แม้มีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสขยายตัวได้จากแรงสนับสนุนทั้งวัฏจักรการผลิต การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ จากภาวะการย้อนกลับของโลกาภิวัฒน์ และมาตรการกระตุ้นการลงทุน

ซึ่งส่งผลให้ผลิตภาพของแรงงานปรับตัวดีขึ้น และน่าจะทำให้การส่งออกของไทยในปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยสอดคล้องกับการส่งออกของประเทศในภูมิภาค โดยคาดว่าการส่งออกของไทยจะเติบโตได้เล็กน้อยที่ 2.0%

อย่างไรก็ตาม KKP Research ปรับลดตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 2567 จาก 38 ล้านคน เหลือ 35 ล้านคน เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวกลับมาได้ช้ากว่าที่คาด ซึ่งเกิดจากทั้งปัญหาภายในของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง ความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวไทยที่แย่ลงหลังเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา และความกังวลด้านความปลอดภัยที่ทำให้คนจีนลดความสนใจในการมาท่องเที่ยวประเทศไทย

เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยสูง

KKP Research ประเมินว่าจากทิศทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอจะทำให้อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำที่ 1.7% เท่านั้น โดยในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อไทยลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มเติบโตติดลบ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเริ่มคงที่ ซึ่งเงินเฟ้อในไทยถือว่าปรับตัวลดลงเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ต่างจากหลายประเทศที่เงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงยาวนาน

ในขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจส่งสัญญานทิศทางไม่ชัดเจน ทำให้การประเมินเศรษฐกิจเพื่อดำเนินนโยบายทำได้ยากขึ้น โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงดอกเบี้ยที่ 2.5% ไปตลอดทั้งปี 2567 ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันมีความเสี่ยงที่นโยบายการเงินไทยจะอยู่ในภาวะที่เริ่มตึงตัวมากเกินไป

ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยสูงขึ้นที่ประมาณ 2.5% ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯ ที่ประมาณ 2%  ในกรณีที่โครงการดิจิทัล วอลเล็ต ไม่เกิดขึ้นได้จริง โอกาสที่ ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีสูงขึ้น

รายงานของ KKP Research เปิดเผยในประเด็นสุดท้ายว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราว แต่มีส่วนสำคัญจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยตกต่ำลงต่อเนื่อง

โดยศักยภาพการเติบโตของไทยในปัจจุบันอาจลดลงเหลือประมาณ 2.4% ตามแนวโน้มการเติบโตใหม่ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่จำเป็นที่จะต้องมีนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน

ที่มา : KKP Research

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส