เทคโนโลยี AI เข้ามาในชีวิตประจำวันของพวกเรามากขึ้น หลาย ๆ งานสามารถทำเสร็จได้อย่างรวดเร็ว หลาย ๆ อาชีพกำลังจะหายไป คำถามคือเราจะรับมืออย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วฉับไวในยุคนี้ ร่วมหาคำตอบและพัฒนาทักษะที่สำคัญได้ผ่านงาน Talents of Tomorrow
ปัจจุบันเราต้องเข้าใจสถานการณ์ของสังคมการทำงานให้ดีเสียก่อน ตามรายงานของ World Economic Forums ระบุว่า 1 ใน 4 ของงานกำลังจะหายไปอย่างมีนัยสำคัญ และ 44% ของคนทำงานต้อง Reskill ในอีก 5 ปีหลังจากนี้ เพราะการมาของเทคโนโลยีเกิดใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของ AI ที่เป็นตัวเร่งทำให้เราต้องปรับตัวให้ทัน จากการมาถึงของ AI ที่สร้างงานใหม่ที่ไม่คุ้นชิน หรือจะเป็นการเข้ามาแทนที่งานในตำแหน่งเดิม
ทำให้การเรียนรู้ทักษะดิจิทัลหรือทักษะใหม่ ๆ ในวันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้สอดรับกับงานใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงต้องคอยปรับเปลี่ยนเรียนทักษะใหม่ รวมถึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับบริบทยุคใหม่ด้วยการทำงานร่วมกับ AI ให้ได้ พร้อมทั้งสื่อสารให้กับมนุษย์ด้วยกันเข้าใจ
Talent War เข้าสู่ยุคแย่งชิงคนเก่ง
บริษัทจะดึงดูดคนเก่ง ให้เข้ามาทำงานได้อย่างไร? เพราะองค์กรในทุกวันนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กจบใหม่จะต้องเข้าบริษัทที่ตรงสาย อีกทั้งหลายตำแหน่งงานต้องการคนที่เก่งในด้านการทำงานจริงมากกว่าทฤษฎี และต้องพร้อมเรียนรู้ไวมากขึ้น
ดังนั้นหลายองค์กรจึงกำลังมองหาคนประเภท Multi-Disciplinary ที่สามารถทำได้หลายงานรู้หลาย ๆ ทักษะ เช่น อาชีพ Data Scientist ที่ต้องมีทักษะอื่น ๆ เพิ่มเติมมากกว่าทักษะเฉพาะทาง แต่ก็ยังคงต้องมี 3 ทักษะสำคัญดังนี้ 1. Data mindset คือการรู้ว่าจะจัดการหรือใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีได้อย่างไร 2. ความสงสัยใคร่รู้ ที่ถือว่าเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการตั้งคำถาม รวมถึงเป็นการชี้นำให้แก้ไขปัญหาได้ 3. ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือเรียกอีกอย่างว่า Life long learner (การเรียนรู้ไปตลอดชีวิต) นั่นเอง
มัดรวมสุดยอดทักษะแห่งอนาคต
สรุปทักษะที่ต้องรู้ ก่อนปี 2025 จากงาน Talents of Tomorrow ได้แก่
Communication Skill
คุณจิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ เล่าถึงทักษะการสื่อสาร โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Systematic Communication กับ Individual Concentration หรือสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ มันคือการสื่อสารภายนอกกับภายใน ซึ่ง Systematic Communication คือการสื่อสารอย่างเป็นระบบในการทำงาน ช่วยให้แบ่งแยกงานหลักออกเป็นงานย่อยอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การใช้ Gantt Chart หรือ Flow Chart เข้ามาช่วย
ส่วน Individual Concentration คือการสื่อสารกับตัวเอง ในช่วงเวลาทำอะไรคนเดียวแล้วติดกับดักไปไหนไม่ได้ หรือเกิดสภาวะอ่อนล้า ให้เริ่มจากการคุยกับตัวเองอย่างมีพลัง แล้วค่อย ๆ เริ่มพัฒนาตัวเองแบบตั้งเป้าหมาย ฝึกในสิ่งจำเป็นในสายงาน แต่เรายังไม่เก่ง เป็นการเปิดโอกาสให้ได้ซุ่มซ้อมกับตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราตระหนักว่า “หากสำเร็จจากภายในแล้วทุกสิ่งที่ต้องการจากภายนอกจะตามมาเอง”
Empathy Skill
ทักษะแห่งความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น จะช่วยให้เราพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการทำงานเป็นทีมร่วมกับเพื่อน ๆ ที่เราเข้าใจพวกเขา โดยทักษะนี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว พร้อมทั้งตระหนักรู้ว่าปัจจุบันตอนนี้เรากำลังทำอะไร เพื่อให้กำหนดการกระทำที่ดีให้แสดงออกมาได้
ซึ่งในทางธุรกิจ ทักษะการเข้าอกเข้าใจต่อลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะหลายบริษัทมักคิดไปว่าลูกค้าเราเป็นแบบนี้แบบนั้น แต่ในความเป็นจริงมักจะตรงข้าม ดังนั้น เราควรที่จะมีการสำรวจและเก็บข้อมูลลูกค้า หรือสัมภาษณ์หา insight โดยตรงจะดีกว่า ก่อนตอบสนองความต้องการต่อลูกค้าผิดทาง
Fundamental Skill
ทุกคนรู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองกันทั้งนั้น แต่หลายคนก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่อะไร ดังนั้นผมขอเสนอ 5 ขั้นตอน ดังนี้
- Objective รู้ว่าเป้าหมายเราคืออะไร? เพื่อกำหนดทิศทางที่จะไป
- Knowledge รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง?
- Skill ใด? ที่ช่วยสามารถลงมือทำให้สำเร็จได้ เพราะมันไม่แค่เพียงรู้ แต่ต้องทำเป็น
- Feedback รู้ผลลัพธ์ที่ควรจะปรับปรุงแก้ไข เพื่อการทำงานออกมาแล้วได้ผลลัพธ์ดีขึ้น
- Technique รู้เคล็ดลับเพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ไวขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งแก่นแท้ของ 5 ขั้นตอนนี้ คือ ‘การเรียนรู้พื้นฐาน’ เพื่อให้เข้าใจภาพรวม แต่ไม่จำเป็นต้องเรียนทั้งหมดเรียนรู้แค่ Core Skill แล้วค่อยเพิ่มเติมด้วยเทคนิคลูกเล่นต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนตามกระแส
Future Proof Your Mindset
ปรับมายด์เซตอย่างไรให้ใช้ชีวิตมีความสุขได้ทุกวัน ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ระบบการศึกษากับใช้เวลา 20-21 ปีในการสร้างอาชีพให้คน 1 คน หลังจากการเข้ามาของ AI, Internet ที่ทำให้การศึกษาเรียนได้ทุกที่ และกระแสหลักที่หลายบริษัทเริ่มไม่ดูปริญญาในการจ้างงาน ต้องการคนที่ทำงานจริงได้มากกว่า
ดังนั้น ทักษะที่สำคัญในวันนี้อาจจะเป็นทักษะการปรับตัวโดยต้องมี 1 ทักษะพื้นฐาน และพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ในทุกวัน ทำให้เราไม่รู้สึกตกหล่น และกังวลกับสิ่งที่เปลี่ยนไป แล้วทักษะนี้พัฒนาอย่างไร?
นี่แหละเป็นอีกหนึ่งในเรื่องที่หลายคนไม่รู้ เพราะทักษะนี้อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ในแต่ละวันเราเรียนรู้ทีละนิดทีละน้อย เราเสพคอนเทนต์จำนวนมาก แค่เปลี่ยนให้มีสาระมากขึ้นเท่านั้นเอง มันจะส่งผลให้เราอยากเรียนรู้มากขึ้นจากการสงสัยในข้อมูลที่เสพไป และจงเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ต่อยอดจากสิ่งที่เราไม่รู้งอย่างไม่หยุดนิ่ง
Integration Skill
Integration Skill คือความสามารถในการบูรณาการหลาย ๆ ศาสตร์มารวมกัน เช่น คนในด้านธุรกิจก็ต้องถามตัวเองว่าเข้าใจลูกค้าดีแค่ไหน หรือองค์กรกำลังต้องการอะไร แล้วเสริมด้วยความรู้ทางไอที สามารถใช้เครื่องมืออะไรได้บ้างเพื่อตอบโจทย์ปัญหานั้น ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการสื่อสารเพื่อทำงานร่วมกับผู้อื่น
และอีกทักษะที่ทำให้ส่วนผสมนี้ลงตัวก็คือ ‘Skill เอ๊ะ หัดขี้สงสัย’ เพื่อสร้างกระบวนการคิด การเริ่มต้นทุกอย่างด้วยการตั้งคำถาม จะช่วยระบุถึงปัญหาที่เจอ และแก้ Pain Point ได้อย่างตรงจุด
Marketing Skill
สมัยก่อนลูกค้าต้องเสิร์ชถึงจะรู้ว่าอยากซื้อสินค้าอะไร แต่ในปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมาก แค่เลื่อนไถฟีดโซเชียลมีเดียไปเรื่อย ๆ จะรีวิวสินค้าหรือป้ายยาก็กดซื้อจากคลิปนั้นแล้ว ผนวกกับการมาถึงของ Social Media ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเป็น Content creator ได้หมด
ดังนั้นธุรกิจหากจะทำงานกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ควรเข้าใจ 3 เทรนด์ ดังนี้
- ยุคดิจิทัลมาร์เก็ตติง ก็สร้างตำแหน่งงานหลัก ๆ จะมีผู้จัดการดิจิทัล Performance Marketing ไปจนถึงคนยิงแอด คนทำ seo
- ยุคต่อมาก็จะเกี่ยวกับ e-commerce การเข้ามาของ Shopee Lazada ทำให้มีตำแหน่งงานแบบผู้จัดการด้าน e-commerce, ผู้จัดการด้าน Omni Channel
- ยุคที่กำลังจะไปถึง Affiliate Partner Marketing เป็นการที่แบรนด์ต้องเริ่มวิ่งเข้าหา Content creator โดยไม่ผ่านตัวกลางมากขึ้น ซึ่งต้องใช้ทักษะมนุษย์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสื่อสาร ผูกสัมพันธ์ ที่ต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์
Product Management Skill
ทักษะในการจัดการผลิตภัณฑ์สามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้กับทั้งการส่งมอบให้สินค้าแก่ลูกค้าหรือองค์กร โดยยึดหลักธรรมอะไรก็ได้ให้สินค้าติดตลาดที่ประกอบไปด้วย 3 ด้าน
- เราจำเป็นต้องมีสูตรลับหรือจุดแข็งเดิมที่เสริมด้วยเทคโนโลยีใหม่ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- จงสร้างสินค้าที่เป็น Pain Killer ที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้จริง ๆ
- เริ่มจากการเจ๊งในกระดาษ ด้วยการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างง่าย ๆ Business model canvas เพื่อจำลองสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
Writing Skill
การเขียนถือเป็นทักษะที่อยู่มานานนับพันปี และทักษะนี้ยังให้ประโยชน์มากมาย เพราะการเขียนคือการเรียบเรียงความคิด ต้องผ่านการคิดที่ตกผลึกในหัวก่อน จึงจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรร้อยเรียงเป็นบทความได้ หากเราเขียนได้ดีมันมีประโยชน์ช่วยบริหารความคิดที่เป็นระบบ ทำให้สื่อสารได้ดียิ่งขึ้น จึงนับว่าเป็นอีกทักษะที่ทรงพลังในการถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ไปสู่ผู้คน
No-Code / Low-code Skill
ในยุคนี้เราอาจจะไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดแต่ต้องเข้าใจว่าธุรกิจต้องการอะไร แล้วจึงเรียนรู้ที่จะหาตัวช่วย ทำให้สำเร็จด้วยการเอาระบบที่มีคนสร้างมาแล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้งาน
Soul Management
ปัจจุบันนี้ท่ามกลางหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป นี่เป็นอีกหนึ่งสกิลที่สำคัญที่สุด เราเก่งในโลกภายนอกแล้วจำเป็นต้องมีการหันกลับมาบริหารจิตใจตัวเองในวันที่ดีใจหรือเศร้าสุดขีด เนื่องจากเมื่อเราบริหารใจได้ดี จะส่งผลให้เราผลิตผลงานที่ดีตามมา จึงขอแนะนำ 3 วิธีในการจัดการจิตใจ ประกอบด้วย
- ปรึกษากับผู้ที่เคยผ่านปัญหานั้นมาก่อน เพื่อให้เราเข้าใจมุมมองและแนวทางแก้ไขปัญหา
- ปรับทุกข์กับคนที่เจอปัญหากับเรา เพราะบางครั้งเราไม่ได้อยากได้แนวทางในการแก้ไข เราอยากได้เพียงคนรับฟัง
- ลองนั่งสมาธิ การที่เราหายใจเข้าออกอยู่กับตัวเอง ช่วยให้เกิดความมั่นคงในจิตใจ และเป็นการรวมศูนย์พลังให้กลับมาอยู่ที่ตัวเรามากขึ้น
Relearning Skill
ทุกวันนี้ข้อมูลล้นไปหมด เรียนรู้กันไม่หวาดไม่ไหว ทำให้บางคนถึงกับเครียดและกังวล เนื่องจากข้อมูลในโลกออนไลน์นั้นมีการเติบโตแบบ exponential ทั้งที่มนุษย์เองถนัดการคิดแบบ Linear ทีละก้าว
คุณเก่งได้เล่าว่า ถ้าเรารู้ว่าชอบอะไรก็โฟกัสที่สิ่งนั้นนี่แหละคือ Turning Point ของชีวิตจริง ๆ จากชีวิตคุณเก่งเองที่เคยเป็นคนเรียนไม่เก่งสู่คนที่ได้เกรด A ทุกวิชาออกแบบ เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และเน้นย้ำว่าเราไม่จำเป็นต้องขยันในทุกเรื่อง ค่อย ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่สนใจหรือตอบโจทย์ในตำแหน่งงานก็พอ
สุดท้ายแล้วถึงเราจะเรียนรู้อะไรต่าง ๆ ที่ดูเหมือนยากลำบาก แต่ถ้ามีความสนุกและเป้าหมายแล้ว เราจะเรียนรู้ได้อย่างไม่มีเบื่อ แล้วเราจะคอยอยากรู้และตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา
Building Trust Skill
เราไม่สามารถเปลี่ยนไปสู่อนาคตได้โดยลืมอดีต นี่ถือเป็นบทเรียนที่ผมได้เรียนรู้หากเข้าใจธุรกิจเก่าก็จะสามารถพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ได้แต่หากไม่สามารถเข้าใจสิ่งเก่า ๆ เราก็แทบเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย แล้วการจะเข้าใจสิ่งเก่าจนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจ
3 วิธีสร้างความไว้ใจในองค์กร สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประกอบด้วย
- เริ่มจากสร้างการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็ก ๆ เพื่อให้คนเก่ารู้สึกคุ้นชิน จนค่อย ๆ ขยายเปลี่ยนในสิ่งที่ใหญ่ขึ้น
- สร้าง Learning Zone model ให้มีพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้ ทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองออกจาก Comfort Zone ไปสู่ Growth Zone และไม่ให้รู้สึกถึง Fear Zone มากจนเกินไป
- ทักษะในการสื่อสาร เมื่อถึงเวลาต้องพูด จงพูดให้เยอะสื่อสารระหว่างกันให้มาก แต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายพูด เราก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ
Time Management
การจัดการเวลาคือสิ่งสำคัญ เนื่องจากเวลาคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ใช้ได้อย่างเดียวแต่หาเพิ่มไม่ได้ ซึ่งเวลาเท่ากับชีวิตหากเราใช้เวลาได้คุ้มค่าก็เหมือนใช้ชีวิตได้คุ้มค่าแน่นอน
พร้อมกับการอธิบายเรื่อง Law of Diminishing Returns ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่นักเรียนเศรษฐศาสตร์ทุกคนมักเข้าใจ สรุปอย่างง่ายก็คืองานที่ทำแรก ๆ มักใช้ชั่วโมงการทำงานน้อยและเรียนรู้ได้มาก ในขณะที่งานในช่วงหลัง ๆ ใช้เวลาเท่ากันแต่กลับสร้างความก้าวหน้าได้อย่างน้อยลง
ดังนั้นพี่ทอยจึงได้เสนอให้เราเรียนรู้สกิลเพื่อเก่งในระดับ 80% แล้วนำแต่ละสกิลที่เรียนรู้ได้มาผสมผสานกัน เพื่อสร้างความแตกต่างและผลงานที่มีประสิทธิภาพในแบบฉบับของตัวเอง เนื่องจากทุก ๆ ทักษะใหม่ที่เราทำได้ ช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในอนาคตสองเท่าเสมอ
รวมถึงต้องมีทักษะการจดจ่อ โฟกัสในแต่ละงานที่กำลังทำ กำจัดสิ่งรบกวนต่าง ๆ เอาชนะความขี้เกียจ และสมองของตัวเองให้ได้ เพราะสมองของเราพยายามจะ Distract ตัวมันเองตลอดเวลา Distractions ส่วนใหญ่เกิดจากภายใน ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก ดังนั้น การโฟกัส คือหนึ่งในทักษะที่ช่วยให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แบบได้ผล ใช้คู่กับวินัยจะทำให้เราเป็น Generalist ขั้นสุด จึงถือได้ว่าเป็นเป็ดที่มีความเก่งกาจ โดยต้องมีอีก 5 อย่างคือ Discipline, Focus, Logic, Persuasion และ Faith
ปิดท้ายด้วย Skill Stack ที่สำคัญที่สุดในยุคนี้คือ Writing, Marketing, Value Creation รวมกันเป็น Entrepreneur Skill Stack เลย
Question Skills
หากถามผมตอนนี้ว่าทักษะไหนสำคัญที่สุดในอนาคต ก็ต้องเริ่มจากการตั้งคำถามที่ถูกต้อง เพราะคำถามที่ถูกต้องจะเปลี่ยนจากการถามว่าทำไมถึงทำไม่ได้ เป็นทำอย่างไรให้ทำได้แทน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการแก้ตัวจากความผิดพลาด
ซึ่งทักษะนี้สามารถค่อย ๆ ฝึกได้ด้วยการเปิดใจให้อีกฝ่ายได้ตอบคำถามของเราด้วยความคิดที่พรั่งพรู และเราเองก็ต้องตระหนักให้ได้ว่าเราไม่รู้อะไร ยอมรับมัน จึงจะสามารถพัฒนาตัวเองด้วยการตั้งคำถามต่อไปได้เรื่อย ๆ
การเข้ามาฟังทุก Session ภายในงาน Talents of Tomorrow เรียกได้ว่า คุ้มค่ามาก ๆ เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ จาก 14 Speaker เหมือนการให้เราเริ่มสำรวจตัวเองว่า ตอนนี้เรามีทักษะต่าง ๆ เหล่านี้แล้วหรือยัง เตรียมรับมือกับอนาคตที่เปลี่ยนรวดเร็วดีแล้วใช่ไหม