เมื่อวันที่ 20 มกราคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีสอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยสหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่อยู่นอกกรอบข้อตกลงนี้ ร่วมกับอิหร่าน ลิเบีย และเยเมน

สหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงโลกร้อน

แม้ว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติจะทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกก็ตาม การถอนตัวครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำมุมมองที่ทรัมป์เคยแสดงออกถึงความสงสัยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในประเทศ

"ข้อตกลงนี้ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ"

ทรัมป์ลงนามคำสั่งถอนตัวที่ Capital One Arena ในกรุงวอชิงตันต่อหน้าผู้สนับสนุน โดยกล่าวว่า “สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้ประเทศของเราต้องเสียเปรียบ ในขณะที่จีนยังคงปล่อยมลพิษโดยไม่มีข้อจำกัด” อย่างไรก็ตาม องค์การสหประชาชาติยังคงแสดงความมั่นใจว่านครใหญ่ รัฐต่าง ๆ และภาคธุรกิจในสหรัฐฯ จะยังคงดำเนินความพยายามเพื่อลดการปล่อยมลพิษ

ผลกระทบต่อเป้าหมายโลกร้อน

การถอนตัวครั้งนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อความพยายามระดับโลก เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับสองของโลก การออกจากข้อตกลงจะบั่นทอนเป้าหมายการลดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยปัจจุบันโลกกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 3 องศาเซลเซียสในสิ้นศตวรรษ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรง เช่น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น คลื่นความร้อน และพายุรุนแรง

ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด ทรัมป์กลับเลือกที่จะปลดล็อกข้อจำกัดเพื่อเร่งการผลิตน้ำมันและก๊าซในประเทศ เขายืนยันว่าจะยังคงรักษาอากาศและน้ำสะอาดในสหรัฐฯ แม้จะถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวก็ตาม แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าสหรัฐฯ อาจเสียโอกาสในการแข่งขันด้านพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และยานยนต์ไฟฟ้ากับจีน

การถอนตัวครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในช่วงเวลาที่โลกต้องการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน ความเคลื่อนไหวของทรัมป์อาจบั่นทอนบทบาทของสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด และเปิดโอกาสให้จีนขึ้นมาเป็นผู้นำแทน ในขณะที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก