โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 เตรียมลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารกว่า 50 ฉบับในทันทีหลังพิธีสาบานตน

การถอนตัวจากกระแสรักษ์โลก

หนึ่งในประเด็นที่ทรัมป์เน้นคือการประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน” ซึ่งเป็นการส่งเสริมการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล การลดการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนอาจสร้างแรงกดดันต่อความพยายามระดับโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ลดบทบาทของนโยบาย Green New Deal และถอนตัวจากความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในสนธิสัญญาปารีส

นโยบายภาษีนำเข้า

ทรัมป์ย้ำว่าจะผลักดันการเรียกเก็บภาษีศุลกากรสูงสุดถึง 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และกว่า 60% สำหรับสินค้าจากจีน ซึ่งเขาเคยกล่าวว่า “คำที่สวยที่สุดในพจนานุกรมคือคำว่า ‘ภาษีศุลกากร’” มาตรการนี้แสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ กำลังมุ่งกระตุ้นให้บริษัทในสหรัฐฯ หันมาใช้ซัปพลายเออร์ในประเทศ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการย้ายฐานการผลิตกลับมาอาจสร้างต้นทุนสูงขึ้น และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อได้เช่นเดียวกัน

นโยบายคนอพยพ

ทรัมป์ยังประกาศความเข้มงวดด้านการตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะการเนรเทศแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเขามองว่าเป็นการปกป้องโอกาสการจ้างงานให้กับชาวอเมริกัน อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมสำคัญ เช่น การก่อสร้าง เกษตรกรรม และเทคโนโลยี อาจเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน

การลงทุนในคริปโทฯ และลดภาษีธุรกิจ

แผนในอนาคตในการสนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี อาจช่วยให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมด้านบล็อกเชน (Blockchain) และฟินเทค (Fintech) โดยดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและนักลงทุนจากทั่วโลก พร้อมลดภาษีธุรกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ

การเริ่มต้นตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ในสมัยที่ 2 สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางนโยบายที่เน้นความเป็นชาตินิยมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แม้จะสร้างความหวังในบางกลุ่ม แต่ความไม่แน่นอนและผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง