แมคโดนัลด์ (McDonald’s) รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด รายได้รวมต่ำกว่าที่วอลล์สตรีตคาดการณ์ไว้ แม้กำไรต่อหุ้นจะเป็นไปตามคาด เนื่องจากยอดขายต่อสาขาในสหรัฐฯ ลดลงแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ส่งผลให้เป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19
ส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์การปนเปื้อนเชื้ออีโคไล (E. coli) ในเบอร์เกอร์ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากหลีกเลี่ยงร้านแมคโดนัลด์ ส่งผลให้ยอดขายของไตรมาสนี้ได้รับผลกระทบหนัก
ผลประกอบการไตรมาสล่าสุด
จากข้อมูลของ London Stock Exchange (LSEG) พบว่า แมคโดนัลด์มีรายได้รวม 6.39 พันล้านเหรียญ (ราว 224,000 ล้านบาท) ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 6.44 พันล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.83 เหรียญ เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้
- ยอดขายสาขาเดิมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 0.4% ดีกว่าคาดการณ์ที่ตลาดมองไว้ว่าจะลดลง 1%
- แต่ยอดขายสาขาเดิมในสหรัฐฯ กลับลดลง 1.4% หนักกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 0.6%
- แมคโดนัลด์ระบุว่า แม้จำนวนลูกค้าที่เข้าร้านจะยังคงเป็นบวก แต่ลูกค้าใช้จ่ายน้อยลงกว่าปกติ
แมคโดนัลด์พยายามแก้ปัญหาด้วยการนำชุดเมนูประหยัด 5 เหรียญ กลับมาขายอีกครั้ง เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ให้ความสำคัญกับราคา แม้ว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในไตรมาสก่อนหน้า แต่กลยุทธ์นี้มีข้อจำกัด เพราะลูกค้าอาจไม่ซื้อเมนูอื่น ๆ ที่ให้กำไรสูงเพิ่มเติม
![](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2025/02/image-6-1.jpg)
วิกฤตอีโคไล
วิกฤตเชื้ออีโคไลที่เชื่อมโยงกับหัวหอมสไลซ์ในเบอร์เกอร์ควอเตอร์พาวน์เดอร์ ส่งผลให้ยอดขายของแมคโดนัลด์ในสหรัฐฯ ร่วงหนักในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น เขตเทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountain region)
โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ประกาศว่าเชื้ออีโคไลไม่แพร่ระบาดอีกตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม แต่ผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมนูควอเตอร์พาวน์เดอร์ที่มียอดขายลดลงหนัก
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแมคโดนัลด์คาดว่า ยอดขายในสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ภายในไตรมาสที่สองของปี 2025 และบริษัทเตรียมกลับมาเปิดตัวเมนูยอดนิยมอย่าง Snack Wraps และเมนูไก่ใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขาย
![](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2025/02/image-6-2.jpg)