ในยุคที่ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง คนรุ่นใหม่กำลังมองว่า การเป็นเจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องสร้างองค์กรใหญ่โตเสมอไป ทำให้หลายคนหันมาเลือกแนวทางของบริษัทตัวคนเดียว ซึ่งเป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยคนเพียงคนเดียวที่บริหารงานทุกด้าน
บริษัทตัวคนเดียวนี้ได้กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและการสร้างธุรกิจที่เน้นที่ตัวคนเดียวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว ด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถทำงานได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำธุรกิจโดยตัวคนเดียวจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยุคดิจิทัลนี้
บริษัทตัวคนเดียว (One Person Business) คืออะไร ?

บริษัทตัวคนเดียว คือรูปแบบของธุรกิจที่ดำเนินการโดยบุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งผู้ประกอบการจะเป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการในทุก ๆ ด้านของธุรกิจ ตั้งแต่การผลิต การตลาด การขาย ไปจนถึงการบริการลูกค้า การทำธุรกิจแบบนี้จะช่วยให้เจ้าของสามารถควบคุมทุกกระบวนการและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว การไม่ต้องพึ่งพาทีมหรือแผนกต่าง ๆ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ตามความต้องการและวางแผนได้อย่างยืดหยุ่น
โดยแนวโน้มของเจ้าของกิจการตัวคนเดียวกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในหลาย ๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี สื่อสังคมออนไลน์ และบริการออนไลน์ ผสมผสานกับประโยชน์ของเครื่องมือดิจิทัล เช่น ซอฟต์แวร์การตลาดออนไลน์ ระบบจัดการสต๊อก และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ช่วยให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงจากการศึกษาของ Pew Research ในสหรัฐฯ พบว่า 82% ของธุรกิจขนาดเล็ก 33 ล้านแห่ง เป็นธุรกิจที่ไม่มีพนักงานเลย และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งระบบนิเวศของอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการคนเดียวหลายล้านคนสามารถสร้างธุรกิจของตัวเองได้ ทำให้กลุ่มยอดนักขายออนไลน์ในสหรัฐฯ สามารถขายสินค้าได้มากกว่า 4.5 พันล้านชิ้น ในปี 2024
สิ่งที่ต้องมีก่อนเริ่มธุรกิจตัวคนเดียว

การตัดสินใจเด็ดขาด การที่เจ้าของมีเอกสิทธิ์ในการควบคุมกิจการ เป็นผู้คุมหางเสือธุรกิจของตัวเอง ช่วยให้สามารถตัดสินใจในทุก ๆ ด้านได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น เจ้าของกิจการตัวคนเดียวสามารถใช้จุดแข็งของตนในการสร้างธุรกิจที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากคู่แข่ง นอกจากนี้ยังสามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้โดยตรงตามวิสัยทัศน์ของตนเอง มีความคล่องตัวสูงในการตัดสินใจ เนื่องจากไม่มีระบบซับซ้อน
กำไรไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เจ้าของธุรกิจตัวคนเดียวคิดว่าเป้าหมายไม่ใช่การเติบโต แต่เน้นไปที่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดี และมักจะไม่มองว่ากำไรเป็นเป้าหมายหลักเพียงอย่างเดียว แต่เน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี ยึดหลักการเติบโตอย่างช้า ๆ มากกว่าการขยายธุรกิจแบบเร็วเกินไป ซึ่งสามารถทำให้ธุรกิจคงอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนในการโฆษณาหรือโปรโมชันมากมาย แต่มุ่งรักษาลูกค้าเดิม และเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าใหม่เสียมากกว่า
พร้อมรับความล้มเหลว การทำธุรกิจแบบตัวคนเดียว หมายถึงการรับผิดชอบในทุก ๆ ด้าน ซึ่งต้องมีความทนทานสูง เมื่อเผชิญกับอุปสรรค เจ้าของกิจการต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นมาเรียนรู้จากความผิดพลาด ปรับปรุงตัวเอง และพร้อมที่จะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้า
เรียบง่ายแต่มีระบบ ธุรกิจตัวคนเดียวควรมีระบบที่ดีแต่เรียบง่าย เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องเผชิญกับขั้นตอนที่ซับซ้อนหรือภาระการบริหารจัดการที่มากเกินไป ระบบที่เรียบง่ายจะช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาในการทำงาน เจ้าของกิจการควรหาวิธีจัดการธุรกิจที่สามารถทำได้อย่างราบรื่นและไม่ยุ่งยาก เพื่อลดความซับซ้อนและมุ่งเน้นที่การสร้างคุณค่าในธุรกิจได้อย่างเต็มที่
ประโยชน์ของ One Person Business

- เป็นนายของตัวเอง การทำธุรกิจตัวคนเดียว ทำให้เจ้าของสามารถควบคุมเวลาชีวิตได้อย่างอิสระ เจ้าของสามารถเลือกทำงานในสิ่งที่ตัวเองสนใจและจัดสรรเวลาไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ตามความต้องการ ซึ่งเป็นข้อดีของการเป็นเจ้าของธุรกิจโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการตัดสินใจ
- เริ่มต้นได้รวดเร็ว การทำธุรกิจตัวคนเดียวไม่ต้องรอการอนุมัติจากทีมงานหรือผู้บริหาร ทำให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมีโอกาสหรือความต้องการในตลาด เจ้าของสามารถลงมือทำได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาในการทำแผนธุรกิจที่ซับซ้อน
- ทำในสิ่งที่มีความหมาย ธุรกิจตัวคนเดียวช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองรักและเห็นความหมาย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนและสามารถสร้างผลกระทบที่ดีให้กับสังคมและลูกค้าได้ในระยะยาว เห็นคุณค่าของงานที่ทำ การทำธุรกิจตัวคนเดียวมักจะทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกทำงานที่ตัวเองชอบและเห็นคุณค่า ซึ่งจะช่วยให้มีแรงจูงใจในการทำงานและสร้างความพึงพอใจให้กับตนเองและลูกค้า ธุรกิจแบบนี้มักจะเน้นไปที่คุณภาพของงานและความพึงพอใจของลูกค้า มากกว่าการมุ่งหวังกำไรสูงสุด
ตัวอย่าง One Person Business
แดน โค (Dan Koe) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของธุรกิจแบบ “One Person Business” ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาทีมหรือการลงทุนในโฆษณาใด ๆ เลย แดนไม่ใช่ดาราหรือคนดัง ผู้ติดตามบน Instagram กว่า 1.6 ล้านคน มาจากการเติบโตแบบ Organic เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผู้ติดตามของเขามาจากการสร้างเนื้อหาคุณภาพเรื่องงานในอนาคต ผ่านการใช้ทักษะการเขียนและการคิดที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสอนเกี่ยวกับปรัชญา ความอยากรู้ และการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในการพัฒนาธุรกิจ

รายได้ของ แดน โค ส่วนใหญ่มาจากการขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัลและธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเขาจัดการทั้งหมดด้วยตัวเอง โดยใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยจัดการงานที่ซ้ำซาก เช่น การสมัครสมาชิกคอร์ส หรือการออกใบเสร็จ ซึ่งช่วยลดภาระในการจัดการธุรกิจ เขาสามารถทำธุรกิจนี้ได้คนเดียว
ในปี 2023 การประเมินค่าตัวของเขาอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการทำธุรกิจดิจิทัลที่สามารถดำเนินการได้จากคนคนเดียว
3 ขั้นตอนเบื้องต้นสู่การเป็น One Person Business

1. เลือกแนวทางธุรกิจที่เหมาะสม การเริ่มต้นธุรกิจแบบ One Person Business ต้องเลือกแนวทางที่คุณสามารถทำได้คนเดียว และไม่ต้องการทีมงานขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจดิจิทัล, คอร์สออนไลน์, การเขียน หรือการให้คำปรึกษา ธุรกิจเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีต้นทุนเริ่มต้นต่ำ แต่ควรเลือกสิ่งที่คุณมีความชำนาญหรือสนใจเป็นพิเศษ เพราะความหลงใหลในสิ่งที่ทำ จะทำให้คุณสามารถทำงานได้อย่างยั่งยืนและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
สิ่งสำคัญคือต้องทำการวิจัยตลาดและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจ ตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกที่จะขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัล เช่น คอร์สเรียนออนไลน์ หรือเครื่องมือทางธุรกิจ ต้องทำความเข้าใจว่าผู้คนในกลุ่มเป้าหมายต้องการอะไร และสามารถให้คุณค่าหรือปัญหาที่คุณสามารถช่วยแก้ไขได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
2. สร้างระบบการทำงานที่สามารถจัดการได้เอง การเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียว หมายความว่าคุณจะต้องรับผิดชอบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างเนื้อหาจนถึงการจัดการธุรกรรมทางการเงิน จึงจำเป็นต้องมีระบบที่ช่วยจัดการงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือที่ช่วยให้การทำงานเป็นอัตโนมัติ เช่น No-code tools หรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ช่วยในเรื่องการจัดการสมาชิก การออกใบเสร็จ หรือการตั้งเวลาโพสต์ ก็จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและลดภาระงานที่ซ้ำซาก
การสร้างระบบที่สามารถทำงานได้เองจะทำให้คุณสามารถให้ความสำคัญกับงานที่สร้างคุณค่าแทนการมานั่งจัดการรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีขึ้นและขยายธุรกิจได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การมีระบบที่เป็นระเบียบจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แม้ในช่วงที่คุณต้องการเวลาพักผ่อนหรือไม่สามารถทำงานได้ทุกวัน
3. ใช้เครื่องมือการตลาดที่ไม่ต้องลงทุนสูง การเริ่มต้นธุรกิจแบบ One Person Business ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงในการทำการตลาด การใช้เครื่องมือการตลาดดิจิทัลที่ฟรีหรือมีต้นทุนต่ำ เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, YouTube) เพื่อสร้างความรู้จักและสร้างฐานผู้ติดตามเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและไม่ต้องใช้ทุนมาก นอกจากนี้การใช้เทคนิค SEO (Search Engine Optimization) ในการเขียนบทความหรือโพสต์ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณติดอันดับการค้นหาบน Google โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา
การสร้างการตลาดที่ยั่งยืนในระยะยาวต้องเน้นที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพและการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ การทำคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเน้นความสัมพันธ์ (Relationship marketing) จะช่วยให้คุณสามารถสร้างความเชื่อมั่นจากลูกค้า และเติบโตไปในทิศทางที่มั่นคง
สรุป One Person Business
ธุรกิจแบบบริษัทตัวคนเดียว หรือ One Person Business เป็นแนวทางที่เจ้าของธุรกิจสามารถควบคุมทุกกระบวนการได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาทีมหรือแผนกหลาย ๆ คน เหมาะกับยุคดิจิทัลที่ต้องการความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว สร้างอิสระในการบริหารเวลาและการใช้ชีวิต การเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรัก และสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ต้องมีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการให้บริการลูกค้าอย่างยั่งยืน ไม่มุ่งหวังกำไรในระยะสั้น แต่ให้ความสำคัญกับการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาวต่อไปในอนาคต