สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ออกนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ระบบการค้าทั่วโลกสั่นสะเทือน ประเทศคู่ค้าจำนวนมากกว่า 180 ประเทศได้รับผลกระทบเต็ม ๆ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่โดนหนักที่สุด จากการที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มสูงถึง 36% ซึ่งภายหลังมีการปรับสูตรใหม่เพิ่มเป็น 37% นับเป็นอัตราภาษีนำเข้าที่สูงติดอันดับต้น ๆ ของโลกในชุดมาตรการนี้

โดยการกำหนดภาษีศุลกากรระดับสูงเช่นนี้มีที่มาจากวิธีคำนวณแบบใหม่ของฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งอ้างอิงโครงสร้างภาษีสูงสุดที่ไทยเคยตั้งไว้ โดยคำนวณว่าไทยเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ สูงสุดได้ถึงราว 72% และนำมาหารครึ่งเป็น 36% ตามสูตรภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ทำให้ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเจอกำแพงภาษีสูงสุดเช่นนี้ ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากทั้งต่อภาครัฐและภาคธุรกิจไทย ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงสั่นสะเทือนเพียงใด และมีแผนรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร

Reciprocal Tariffs เป็นภาษีตอบโต้หรือภาษีลงโทษ

ทรัมป์โฆษณานโยบายการค้าของตนว่าเป็นการเรียกเก็บภาษีตอบโต้แบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) โดยยึดหลักการว่าถ้าประเทศใดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูง สหรัฐฯ ก็จะเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ประเทศนั้นเท่ากัน เพื่อความเป็นธรรมในการค้า

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ มาตรการภาษีของทรัมป์กลับมีลักษณะเป็นภาษีลงโทษ (Punitive Tariffs) ที่มุ่งลงโทษประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ มองว่าเอาเปรียบทางการค้า มากกว่าเป็นการเก็บภาษีแบบต่างตอบแทนตรงตัว นโยบายที่ประกาศล่าสุดนี้กำหนดให้มีภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก และเพิ่มเติมภาษีพิเศษในอัตราสูงกับประเทศที่สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้า ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นกลุ่มประเทศที่กีดกันสินค้าสหรัฐฯ หรือทำลายความเป็นธรรมทางการค้า

ซึ่งการคำนวณอัตราภาษีตอบโต้เหล่านี้ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด นักเศรษฐศาสตร์ไทยวิเคราะห์ว่าทรัมป์อาจใช้สูตรง่าย ๆ คือเอาตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศนั้นหารด้วยมูลค่าการนำเข้าจากประเทศนั้น แล้วคูณด้วย 0.5 (50%) ซึ่งสำหรับประเทศไทยให้ผลออกมาประมาณ 36.35% ใกล้เคียงกับตัวเลข 36% ที่ทรัมป์ประกาศ

วิธีคิดเชิงกลไกเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่านโยบายภาษีของทรัมป์ตั้งอยู่บนมุมมองด้านตัวเลขการค้าขาดดุลเป็นหลัก มากกว่าจะพิจารณาความสมดุลที่แท้จริงของอัตราภาษีหรือมาตรการกีดกันต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ กล่าวได้ว่านโยบายนี้เป็นการใช้อัตราภาษีสูงเป็นเครื่องมือกดดันเชิงยุทธศาสตร์ ลงโทษประเทศคู่ค้า เพื่อบีบให้กลับมาเจรจาต่อรองตามเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ต้องการ มากกว่าจะเป็นการปรับให้เท่าเทียมอย่างตรงไปตรงมา

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

การถูกขึ้นภาษีนำเข้าสูงถึง 37% ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคการส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18.3% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย (มูลค่าประมาณ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ขณะเดียวกันไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึงประมาณ 45,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ไทยตกเป็นเป้าหมายในสายตาทรัมป์ การขึ้นภาษีนำเข้าครั้งนี้จะทำให้สินค้าของไทยในตลาดสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้นมากจนความสามารถในการแข่งขันลดลงทันที คาดว่ามูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 จะหดตัวลงอย่างหนัก อาจติดลบถึง -10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

เนื่องจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดคำสั่งซื้อสินค้าจากไทยลงอย่างมาก ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่าภาษีศุลกากรครั้งนี้อาจทำให้ไทยสูญเสียจีดีพีประมาณ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เลยทีเดียว หากไม่มีมาตรการแก้ไข ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ตั้งไว้ราว 3%

สินค้าส่งออกหลักของไทยที่จะได้รับผลกระทบรุนแรง

ได้แก่ :

  1. สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และไอที : เช่น โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสาร, คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ตลอดจนวงจรและอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งหมวดสินค้าเหล่านี้รวมกันมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
  2. ยานยนต์และชิ้นส่วน : ได้แก่ ยางรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์ต่าง ๆ ที่ไทยส่งออกจำนวนมากให้ผู้ผลิตรถในสหรัฐฯ หรือเพื่อทดแทนตลาดอื่น สินค้ากลุ่มนี้ก็จะเผชิญอุปสรรคด้านราคาเมื่อโดนภาษีเพิ่ม
  3. เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่น ๆ : เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่างเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ตลอดจนสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องพิมพ์และอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม ก็อยู่ในกลุ่มที่โดนภาษีและมีมูลค่าการส่งออกสูง
  4. สินค้าเกษตรและอาหาร : ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ข้าวสาร ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี จะมีราคาแพงขึ้นมากจนผู้ซื้ออาจหันไปซื้อจากแหล่งอื่น หรือซื้อข้าวภายในสหรัฐฯ เอง นอกจากนี้ยังรวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปบางชนิด เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ที่จะได้รับผลกระทบด้วย
  5. อัญมณีและเครื่องประดับ : ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเครื่องประดับสำคัญไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเจอภาษีสูง 37% สินค้าฟุ่มเฟือยกลุ่มนี้จะยิ่งขายยากในตลาดสหรัฐฯ ผู้ผลิตอาจต้องลดการส่งออกหรือมองหาตลาดใหม่

เมื่อสินค้าส่งออกเหล่านี้ถูกลดคำสั่งซื้อ ผู้ประกอบการไทยขนาดกลางและเล็ก (SMEs) จำนวนมากที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย หลายอุตสาหกรรมของไทย เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ มีผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยจำนวนมากกระจายตัวอยู่ การที่ผู้ส่งออกใหญ่ต้องลดกำลังผลิตเพื่อปรับตัวกับยอดสั่งซื้อที่หดตัวลง จะส่งผลให้โรงงาน SME เหล่านี้ต้องลดการผลิต ลดการจ้างงาน หรือบางรายอาจถึงขั้นต้องหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว

นอกจากนี้ เกษตรกรไทย โดยเฉพาะผู้ปลูกพืชส่งออกอย่างข้าว ยางพารา รวมถึงผู้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป อาจเผชิญราคาสินค้าตกต่ำจากความต้องการที่ลดลงในตลาดส่งออกสหรัฐฯ กำไรที่เคยได้จากการขายออกนอกก็หายไปพร้อมกับกำแพงภาษีที่สูงขึ้น

ในด้านหนึ่ง รัฐบาลไทยมีแผนจะนำเข้าสินค้าการเกษตรบางชนิดจากสหรัฐฯ มากขึ้น (เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด อาหารสัตว์ และเนื้อวัว) เพื่อเอาใจสหรัฐฯ การเปิดตลาดให้สินค้าการเกษตรเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันต่อเกษตรกรไทยในสินค้าประเภทเดียวกันให้ต้องแข่งขันกับของนำเข้า ซึ่งซ้ำเติมความยากลำบากของภาคเกษตรไปอีกทางหนึ่ง

แนวทางการรับมือของไทย

ท่ามกลางวิกฤตสงครามการค้าที่ปะทุขึ้น รัฐบาลไทยได้เร่งหารือและวางแนวทางรับมือหลายด้านเพื่อบรรเทาผลกระทบและแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเป็นระบบ แนวทางสำคัญ ๆ ได้แก่ :

  1. การเจรจากับสหรัฐฯ โดยตรง : ผู้นำรัฐบาลไทยประกาศชัดเจนว่าจะเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ โดยด่วน เพื่อขอลดหรือทบทวนอัตราภาษีที่เรียกเก็บสูงเกินไปนี้ โดยไทยเตรียมจัดตั้งทีมเจรจาเฉพาะกิจและปรับยุทธศาสตร์ภาษีของไทยเองให้สอดคล้องเพื่อหาจุดลงตัวร่วมกัน ซึ่ง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ย้ำว่าการพูดคุยโดยละเอียดกับฝ่ายสหรัฐฯ เป็นสิ่งจำเป็น และไทย “จะไม่ปล่อยให้สถานการณ์ถึงขั้นที่จีดีพีของเราพลาดเป้า” แสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาผ่านโต๊ะเจรจาให้ได้ ก่อนที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะลุกลาม
  2. ปรับลดภาษีและเปิดตลาดแก่สหรัฐฯ เพื่อลดดุลการค้า : ฝ่ายไทยตระหนักดีว่าต้นเหตุหนึ่งที่ทรัมป์หยิบมาอ้างคือไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาก รัฐบาลจึงพิจารณาใช้มาตรการเชิงรุก เช่น นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมันดิบ ก๊าซ และสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเลขการเกินดุลลดลง นอกจากนี้อาจปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในบางรายการที่ไทยเคยตั้งไว้สูง เปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงท่าทีที่ดีและลดข้ออ้างเรื่องการกีดกันสินค้าสหรัฐฯ ของไทยลง ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นกลยุทธ์เชิงนโยบายเพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อให้การเจรจาประสบผลสำเร็จ
  3. ความร่วมมือกับอาเซียนและเวทีพหุภาคี : ประเทศไทยมิได้เผชิญปัญหานี้เพียงลำพัง หลายประเทศในอาเซียนก็โดนภาษีสูงจากสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม 46%, กัมพูชา 49%, อินโดนีเซีย 32% เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ต่างก็ได้รับการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติและพึ่งพาการส่งออกเช่นเดียวกับไทย รัฐบาลไทยจึงมีท่าทีพร้อมประสานงานกับชาติอาเซียนอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางตอบโต้หรือเจรจาร่วมกันในกรอบภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นการออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องการค้าที่เป็นธรรม หรือการใช้อำนาจต่อรองในเวทีการประชุมระหว่างประเทศ เพื่อกดดันให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการที่กระทบต่อเสถียรภาพการค้าโลก นอกจากนี้ ไทยและชาติที่ได้รับผลกระทบอาจพิจารณาใช้กลไกระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) แม้ว่ากระบวนการจะใช้เวลานาน แต่ก็เป็นการยืนยันหลักการการค้าเสรีและคานอำนาจกับมาตรการฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ
  4. กระจายความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์การค้า : ในระยะกลาง ไทยอาจต้องปรับตัวด้วยการกระจายตลาดส่งออก ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ เพียงแห่งเดียว โดยหันไปหาตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น ประเทศในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ หรือขยายการค้ากับประเทศคู่ค้าที่ไทยมี FTA อยู่แล้ว เพื่อชดเชยส่วนแบ่งตลาดที่เสียไป การสนับสนุนให้ผู้ส่งออกไทยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน (เช่น การยกระดับคุณภาพสินค้า ลดต้นทุนการผลิต หรือเพิ่มมูลค่าให้สินค้า) ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้สินค้าไทยยังขายได้ในตลาดโลกแม้ต้องเจอกำแพงภาษี นอกจากนี้ ภาครัฐอาจต้องเร่งออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือมาตรการภาษีจูงใจภายในประเทศ เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดจนกว่าปัญหาจะคลี่คลาย

ในขณะนี้ ประเทศคู่ค้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่เลือกใช้แนวทางการทูตและการเจรจาแทนการโต้ตอบด้วยการขึ้นภาษีใส่สหรัฐฯ กลับ เพราะเข้าใจดีว่าการทำสงครามภาษีมีแต่จะเสียกันไปทุกฝ่าย โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีชาติใดในภูมิภาคประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ มีแต่การส่งสัญญาณขอเจรจาเท่านั้น แนวทางการหารือและการปรับความสัมพันธ์ทางการค้าจึงเป็นหนทางหลักที่ไทยและเพื่อนบ้านเลือกเดิน เพื่อหาทางออกที่สมประโยชน์ร่วมกัน

ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ให้ความเห็นกับกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่าการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รอบนี้เป็นการพลิกโฉมนโยบายการค้าครั้งใหญ่ ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ควรรีบร้อนให้ของฟรี แก่สหรัฐฯ ด้วยการลดภาษีฝ่ายเดียว เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มีท่าทีอยากลดภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้ว ทั้งยังบอกชัดว่าประเทศที่อยากให้สหรัฐฯ ลดภาษีจะต้องมีข้อเสนอมหัศจรรย์กลับไปให้

ซึ่งไทยเองไม่ได้มีเงื่อนไขพิเศษขนาดนั้น จึงควรเก็บมาตรการลดภาษีไว้เป็น “กระสุนต่อรอง” มากกว่าจะด่วนยอม จึงต้องคิดถึงยุทธศาสตร์ระยะยาวว่าหลังจากทรัมป์ปรับท่าทีการค้าแล้ว ไทยจะอยู่ร่วมกับสหรัฐฯ ในบริบทใหม่อย่างไร โดยยังรักษาผลประโยชน์ของไทยให้มากที่สุด

แผนการบริษัทข้ามชาติในไทยภายใต้ความไม่แน่นอน

มาตรการภาษีของทรัมป์ไม่เพียงส่งผลต่อรัฐบาลและผู้ประกอบการในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างความไม่แน่นอนให้กับ บริษัทข้ามชาติ (MNCs) จำนวนมากที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกอีกด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามได้รับอานิสงส์จากยุทธศาสตร์ “China+1” ที่บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ในยุคทรัมป์สมัยแรก

แต่การขึ้นภาษีรอบใหม่กลับมาพุ่งเป้ามายังประเทศเหล่านี้โดยตรง ซึ่งกลายเป็นการท้าทายโมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออกของภูมิภาคอย่างมาก “อัตราภาษี 46% ของสหรัฐฯ ถือเป็นความท้าทายโดยตรงต่อโมเดลการเติบโตแบบพึ่งพาการส่งออกที่ดึงดูดบรรษัทข้ามชาติมาลงทุนในเวียดนาม” ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศรายหนึ่งกล่าวถึงกรณีเวียดนาม เช่นเดียวกัน อัตราภาษี 37% ต่อสินค้าไทยก็ส่งสัญญาณลบถึงนักลงทุนข้ามชาติว่า ความได้เปรียบในการผลิตสินค้าจากไทยเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ กำลังหดหายไปอย่างมาก

ภายใต้ภาวะเช่นนี้ บริษัทข้ามชาติที่ดำเนินงานในไทยมีแนวโน้มจะปรับแผนธุรกิจเพื่อรับมือความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่ปะทุใหม่ โดยอาจดำเนินการดังต่อไปนี้

  1. ทบทวนห่วงโซ่อุปทานและแหล่งผลิต : บริษัทเหล่านี้จะประเมินว่าโรงงานในไทยยังคุ้มค่าที่จะผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ อยู่หรือไม่ หากภาษียังคงสูงถึง 37% บางบริษัทอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิต สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ไปยังประเทศอื่นที่เผชิญภาษีน้อยกว่า (เช่น มาเลเซียที่ 24% หรืออินเดีย 27%) หรือแม้กระทั่งย้ายกลับไปผลิตในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า (Reshoring) ตามที่ทรัมป์ต้องการ นโยบายภาษีครั้งนี้แท้จริงแล้วออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ “นำการผลิตกลับบ้าน” ดังนั้นบริษัทข้ามชาติย่อมต้องชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบระหว่างต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่าในไทยกับภาระภาษีมหาศาลที่ต้องจ่ายเมื่อส่งสินค้าเข้าอเมริกา
  2. ปรับโครงสร้างการผลิตและแหล่งวัตถุดิบ : บริษัทที่ยังคงเลือกผลิตในไทยอาจมองหาช่องทางลดผลกระทบของภาษี เช่น ปรับให้องค์ประกอบของสินค้ามีสัดส่วน “วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่มาจากสหรัฐฯ” มากขึ้น เพราะตามกฎภาษีใหม่ของสหรัฐฯ หากสินค้ามีชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาไม่น้อยกว่า 20% ของมูลค่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีเฉพาะในส่วนที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ เท่านั้น วิธีนี้จะช่วยลดฐานภาษีที่ต้องจ่ายลงได้บางส่วน บริษัทอาจเลือกนำเข้าชิ้นส่วนหลักจากโรงงานในสหรัฐฯ มาประกอบในไทยเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว หรือย้ายกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายไปทำในประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับการยกเว้นบางส่วน ก่อนส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งนี้เพื่อหลบเลี่ยงกำแพงภาษีอย่างสร้างสรรค์
  3. ชะลอการลงทุนและรอดูสถานการณ์ : ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้บรรษัทข้ามชาติส่วนหนึ่งชะลอแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตในไทยออกไปก่อน โครงการลงทุนใหม่ ๆ อาจถูกทบทวนหรือลดขนาดลงจนกว่าจะเห็นความชัดเจนว่าการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะนำไปสู่อะไร หากการเจรจาสำเร็จและภาษีถูกยกเลิกหรือปรับลด บริษัทเหล่านี้ก็พร้อมจะเดินหน้าต่อ แต่หากภาษียังคงอยู่ยาวนาน ก็ไม่แน่ที่ไทยจะรักษาความน่าสนใจในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาคไว้ได้ในสายตานักลงทุนระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ บรรษัทข้ามชาติใหญ่ ๆ โดยเฉพาะที่มีฐานในสหรัฐฯ เอง หรือมีตลาดสำคัญในสหรัฐฯ ก็คงไม่อยู่นิ่งเฉยต่อสถานการณ์นี้ หลายบริษัทได้ส่งสัญญาณผ่านหอการค้าหรือสมาคมธุรกิจอเมริกัน ให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับรู้ถึงผลเสียที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของตน และสนับสนุนให้มีการเจรจาหาทางผ่อนปรนมาตรการภาษีใหม่ เช่น หอการค้าอเมริกันในฮานอยระบุว่าคาดหวังให้มี “การเจรจาเพื่อหาวิธีลดหรือบรรเทาผลกระทบของภาษีใหม่” ซึ่งสะท้อนเสียงของภาคธุรกิจที่ไม่ต้องการให้สงครามการค้ายืดเยื้อ ต่างก็หวังให้รัฐบาลหาทางออกร่วมกันโดยเร็ว

วิกฤตการค้าครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของชาติมหาอำนาจสามารถส่งแรงสะเทือนเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ประเทศเล็กกว่าที่พึ่งพาการส่งออกอย่างไทยได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้จากมาตรการที่ตนไม่ได้มีส่วนก่อ ท่ามกลางความผันผวนนี้ ไทยจำเป็นต้องดำเนินนโยบายตอบสนองอย่างชาญฉลาดและเด็ดขาด ทั้งการเจรจาทางการทูตเพื่อยับยั้งความเสียหาย การปรับโครงสร้างการค้าเพื่อลดแรงจูงใจในการเป็นเป้า และการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของตนเอง

ในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจและบรรษัทข้ามชาติก็ต้องปรับตัวและวางแผนรับมือกับความไม่แน่นอนนี้อย่างรอบคอบ บทเรียนสำคัญคือในยุคโลกาภิวัตน์ที่เปราะบาง ความร่วมมือและการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ระหว่างประเทศ คือกุญแจที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายก้าวข้ามความขัดแย้งทางการค้าไปได้ โดยหวังว่าท้ายที่สุดแล้วจะสามารถหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และรักษาระบบการค้าเสรีที่เป็นประโยชน์ร่วมกันเอาไว้ได้ในระยะยาว