หลังจากเกิดกระแสฮือฮาในวงการธุรกิจกาแฟเมืองไทย กรณีข้อพิพาทระหว่างเนสท์เล่ เจ้าของแบรนด์กาแฟชื่อดัง Nescafe กับตระกูลมหากิจศิริ ผู้ก่อตั้งบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเคยได้รับสิทธิให้ผลิตและจัดจำหน่ายเนสกาแฟภายในประเทศไทยมาเป็นเวลายาวนาน
ก่อนหน้านี้ การยุติสัญญาอนุญาตการผลิตเนสกาแฟในไทย โดยเนสท์เล่ ตั้งแต่ปี 2564 ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องอนาคตของ QCP ได้ ทั้งยังนำมาสู่การฟ้องร้องที่ศาลแพ่งมีนบุรี ซึ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการผลิตและจำหน่ายเครื่องหมายการค้า Nescafe ในประเทศไทย จนเกิดข้อกังวลด้านอุตสาหกรรมกาแฟ รวมถึงซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง

ทำให้เนสท์เล่ได้ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อขอเพิกถอนคำสั่ง จากเหตุผลว่าการห้ามผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เนสกาแฟ อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ และคู่ค้ารายย่อยอีกจำนวนมาก
ล่าสุด ศาลแพ่งมีนบุรีได้มีการนัดพิจารณาเรื่องการเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ขณะที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ก็ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าสิทธิในเครื่องหมายการค้า Nescafe นั้นเป็นของเนสท์เล่แต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้เนสท์เล่ สามารถกลับมาผลิตและจำหน่ายเนสกาแฟได้ตามปกติอีกครั้ง
สำหรับตระกูล “มหากิจศิริ” และ QCP นับเป็นผู้เล่นรายสำคัญในวงการกาแฟไทยมาช้านาน การสิ้นสุดสัญญาผลิตเนสกาแฟกับเนสท์เล่ย่อมส่งแรงสั่นสะเทือนต่อภาพรวมตลาดกาแฟ อย่างไรก็ตาม การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ชี้ขาดด้านสิทธิในเครื่องหมายการค้า ย่อมทำให้ทิศทางการทำตลาดแบรนด์กาแฟในประเทศชัดเจนยิ่งขึ้น