สงครามการค้าสั่นสะเทือนวงการยาสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แสดงท่าทีในการเรียกเก็บภาษีนำเข้ายาจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงยาสามัญและยาต้นแบบหลากหลายชนิด

โดยสหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งจากยุโรป ไอร์แลนด์ จีน และอินเดีย แม้ยาต้นแบบซึ่งมีสิทธิบัตรและกำไรสูงจะผลิตในสหรัฐฯ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีบางส่วนของกระบวนการผลิตในต่างแดน

ทรัมป์หวังว่า ภาษีดังกล่าวจะกระตุ้นให้บริษัทยาต่าง ๆ ย้ายฐานกลับมาลงทุนตั้งโรงงานในอเมริกา แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการก่อสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลาหลายปี อีกทั้งค่าแรงและค่าดำเนินการในสหรัฐฯ ก็สูงกว่าหลายเท่าตัว

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า หากมาตรการนี้ถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวด ราคายาในตลาดสหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คนไข้ที่อาศัยยาสามัญราคาประหยัดจึงอาจถูกบีบให้หันไปใช้ยาที่ราคาสูงกว่า และยิ่งทำให้ภาคสาธารณสุขต้องแบกรับภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะยาสามัญที่ต้องพึ่งพาการผลิตจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำอย่างจีนและอินเดียถูกกดดันด้วยกำแพงภาษี

ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตยาสามัญที่ถูกเก็บภาษีสูงจนเกินไป อาจทำให้มีกำไรไม่มาก และจำต้องลดกำลังการผลิตหรือเลิกผลิตบางรายการ ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนยา

กลายเป็นว่าในระยะยาวยังไม่มีใครทราบชัดว่าการปฏิรูปด้านนโยบายการผลิตยาของสหรัฐฯ จะพัฒนาไปในทิศทางใด อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบอย่างรอบด้าน ฝั่งหนึ่งคือการผลักดันให้มีการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นจริง แต่อีกฝั่งหนึ่ง ประชาชนและผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับราคายาที่พุ่งสูง